jueves, 31 de marzo de 2011

W&T: Being A Sandwich Artist!

ความจริงตั้งใจจะมาอัพวันหยุดงานแหละนะ แต่ปรากฏว่าวันนี้คอมอยู่ว่างๆ เพราะน้องหมิงออกไป hang out กับเพื่อนที่ทำงาน เลยยึดคอมซะเลย (โฮะโฮะโฮะ) ก็เลยขออัพอย่างเต็มที่ และขอเล่าชีวิต sandwich artist ที่ชื่อว่าหทัยพันธน์ให้ทุกท่านได้ฟังดังนี้ เป็นช่วงชีวิตอันยาวนานที่จริงๆแล้วทำงานอย่างทรหดไปเป็นจำนวนเพียงแค่หกวันเท่านั้น (รู้สึกเหมือนอยู่มาซักปีนึงได้!)

(โปรดอ่าน; อาจมีคำไม่สุภาพบ้าง เพราะอยากเล่าและอยากระบายให้เข้าถึงอารมณ์ ต้องขออภัย)

หลังจากวันแรกที่เค้าปล่อยให้เราดูวิดีโอกับล้างจานไปอย่างหรรษาแล้วนั้น เราก็หลงคิดไปว่า โถ งานคงไม่เป็นไรมาก สู้ไม่ถอย แต่วันที่สองมาเท่านั้นแหละ ... #@~!*(&#@)#(@**@ ต่างกันราวฟ้ากับเหว นรกกับสวรรค์ เนื่องจากเกิดความผิดพลาดคนเข้างานน้อยเกินไป เราจึงต้องโผล่ออกไปหน้าเคาท์เตอร์และสู้รบกับกองทัพมนุษย์หิวโซแทน วันแรกของการอยู่หน้าเคาท์เตอร์ (ต่อไปขอเรียกว่า line) และวันที่สองของการทำงาน เรากับพี่ออมต้องคอยดูแลเรื่องผัก คือใส่ผักในแซนด์วิชตามที่ลูกค้าต้องการ ใครไปกินซับเวย์มาแล้วคงจะนึกออก เดี๋ยวเราจะอธิบายให้ละเอียดอีกที เอาเป็นว่า เราประจำอยู่ส่วนใส่ผัก แล้วก็ต้องฟังลูกค้าว่าต้องการผักอะไรบ้าง และจะใส่ซอสอะไรหรือทอปปิ้งอะไร ทำไปทำมาก็ชินๆนะ พอจับได้บ้าง วันนั้นคนก็บังเอิญเยอะมากกกกกกกก จากที่ได้กลับสองโมง กลายเป็นต้องกลับสี่โมง ก็ดีได้ทำงานเจ็ดชั่วโมง แต่ขอโทษเถอะ ลืม clock in ง่าวสุดๆๆๆ ฮือๆๆๆ เกือบได้ทำงานฟรีแล้วเชียว บทเรียนของวันนี้สอนให้รู้ว่า มาถึงปุ๊บอย่าลืมตรงไป clock-in ที่เคาท์เตอร์ก่อน ฮืออออ

วันต่อๆมาไม่อยากจะพูดถึงคือความยากมันเพิ่มพูนมาก บางทีก็ต้องมาประจำในส่วนเนื้อ ซึ่งจำได้ครั้งแรกที่มาทำนั้น เราแบบอยากจะร้องไห้ เค้าสั่งไรมาไม่รู้เรื่องเลย ทำได้แค่เออ ใส่ชีสซึ่งแงะมาแปะยากมาก แล้วก็ยัดแซนด์วิชเข้าเตาอบ เราทำได้แค่นี้จริงๆ พอผู้จัดการถามเมนูว่าแต่ละอันมีอะไรบ้าง ไม่รู้เลยอ่ะ ตอบไม่ได้ อยากกรีดร้องออกมา แบบ โว้ยยยย ใจเย็นๆดิลุง! หลังจากวันอันเลวร้ายนั้นเราเลยถ่ายเมนูพร้อมส่วนประกอบมานั่งท่องที่บ้าน แล้วหมิงก็ใจดียอมเล่นเกมกับเราด้วย 555 คือเราใช้วิธี พิมพ์ชื่อส่วนผสมต่างๆ ใส่กระดาษไปปริ้น (โรงแรมให้ปริ้นฟรี เลยล่อมันซะหกแผ่น ฮ่าๆ) แล้วตัดเป็นชิ้นๆ พอท่องเมนูได้ ก็เล่นสมมุติเป็นลูกค้ากับคนทำ สั่งเมนูขนมปังใส่เนื้ออะไรบ้าง (ไส้แซนด์วิชที่ร้านเค้าจะเรียก sub อ่ะนะ) ก็ลองทำดู ปรากฏอีกวันนึง มันก็ทำได้ดีขึ้นนะ แต่เราแค่ยังหั่นขนมปังไม่สวย แต่ก็พอจำเมนูได้ (จริงๆตรงเคาท์เตอร์ก็มีแปะบอกไว้ แต่ตอนลูกค้ามาอ่านไม่ทันอ่ะ เหอๆ) ปัญหาคืออาจจะฟังไม่รู้เรื่องฟังไม่ทัน เราก็ถามย้ำบ่อยๆ บ่อยจนรำคาญกันไปข้าง แต่ก็ดีกว่าทำผิดอ่ะ เหอๆ บางทีฟังไม่รู้เรื่องก็เรียกคนแถวนั้น เดวิดดด เจสสิก้าา ริคคค แต่ไม่ค่อยกล้าไปยุ่งกับเมเนเจอร์ คืออยู่กับเค้า รู้สึกกดดันมาก ไม่ยักกะใช่คุณลุงใจดีอย่างที่คิดไว้ คือถ้าไม่ใช่เวลางานเค้าจะใจดีมากเลยนะ แต่พอเวลางานปุ๊บเครียดทันที ยิ่งวันไหนเราต้องไปทำผักแล้วเค้าเป็นแคชเชียร์นะ เราจะแบบ โว้ยย ห่อแซนด์วิชได้อุบาทมากกก (คือสองส่วนนี้จะอยู่ใกล้กัน) คือทุกวันนี้ไปทำงานด้วยความรู้สึกเครียดว่าแบบ วันนี้จะโดนอะไร เพราะมันเป็นงานที่เจออะไรใหม่ๆตลอด ลูกค้าเปลี่ยนหน้าไปเรื่อยๆ แล้วถึงจะเป็นคนเดิมก็รับประกันไม่ได้ว่าเค้าจะสั่งเมนูเดิม เราเลยรู้สึกว่ามันยากอ่ะ แล้วทุกคนค่อนข้างกดดันเราด้วย เราก็แบบ โว้ยยย กู freak out สุดๆ เครียดทุกวันจริงๆ แต่ก็คิดซะว่า ช่างแม่ง อย่าคิดเลยว่าคนอย่างข้าพเจ้าจะยอมแพ้ ไม่มีทาง ยิ่งยากยิ่งจะทำให้ได้ มันก็เหนื่อยนะ ร้องไห้งอแงเหมือนกัน แต่ก็คิดว่า เออ ร้องไป เสียใจไป เครียดไป เอาให้เต็มที่ เออ! แต่อย่ายอมแพ้แค่นั้นก็พอ บางทีเค้าก้ไม่ได้ว่าอะไรขนาดนั้น แต่คนที่รู้จักเราจะเข้าใจว่า เออ เราไม่ชอบให้งานไม่เพอร์เฟ็กต์อ่ะ ทุกอย่างต้องออกมาดี ถึงจะทำดีมาทั้งวันแต่ถ้าพลาดไปนิดเดียว เราก็อาจจะเฟลไปทั้งวันเลยได้เหมือนกันนะ หกวันมานี่ส่วนใหญ่ก็เป็นยังงั้น มีวันนึง เมื่อวานมั้งแบบทำเสร็จละ จะกลับละ เมเนเจอร์บอกล้างจานแล้วกลับได้ เราก็จะโล่ง เออวันนี้ไม่โดนอะไรเท่าไหร่แฮะ เพราะไปทำเนื้อซะส่วนใหญ่ไง เริ่มชินหูบ้าง แต่สักพักอิคุณริค (พ่อจักรยานเขียว) ก็ตะโกนมาจากหน้าเคาท์เตอร์ "Omi!! Save me!!!" ชิบละ คิดในใจเกือบรอดแล้วเชียว แล้วคราวนี้ไปประจำอยู่ตรงผัก โอ๊ย เท่านั้นแหละเหมือนนรกอยู่ข้างๆ คุณลุงเมเนเจอร์แกแบบอยู่ตรงแคชเชียร์เลย ทั้งเร่ง ทั้งโน่นนี่นั่น สารพัด ทำเสร็จมีการมาบอกเราว่า เออ เมื่อกี้ทำไมไม่ห่อของคนนี้ ไปช่วยใส่ผักให้อีกคนทำไม แต่ขอโทษเถอะนะ ตอนนั้นแซนด์วิชที่ห่อแล้วกองอยู่ตรงแคชเชียร์บึ้ม ไอ้เราก็หวังดี เดี๋ยวมาห่อก็ได้ เพราะคนมันเยอะ เดี๋ยวปนกัน ถ้าห่อแล้วไม่รู้ว่าไส้อะไรไง ก็ไปช่วยใส่ผักของอีกอัน เพราะตรงผักพ่อจักรยานเขียวแกทำอยู่คนเดียว ถึงมันจะทำเร็วแค่ไหน แต่ก็ไม่เท่าส่วนเนื้อที่ส่งแซนด์วิชมาให้ คือมันกองเยอะมากกก เราเลยไปช่วย แต่คือพอเมเนเจอร์บอกแบบนี้เราก็เลย เออ วันหลังไม่ไปก็ได้ ห่อกองกันตรงนี้แหละ โว้ย! วันนั้นกลับมาเฟลทั้งวันทั้งคืน

One day in Sandwich Artist's Life
ชื่อซะสวยหรูแต่งานนี่ไม่ได้หรูอย่างที่คิด มาถึงปุ๊บปกติเราก็ต้องทำ prep ก่อน คือเป็นการเตรียมพวกส่วนผสมต่างๆ ผัก เนื้อ ขนมปัง บลาๆ ให้เต็มสต็อก ก็แล้วแต่ว่าวันนั้นต้องทำอะไรบ้าง เค้าก็จะมาบอกว่าต้องการอะไรเท่าไหร่ ก็ทำไปตามจำนวนนั้น เรายังไม่ค่อยได้ยุ่งกับขนมปังนะ แต่ขนมปังของที่ร้านเรามีห้าแบบ ทิ้งทุกสี่ชั่วโมง เพื่อความสดใหม่ (เสียดายมาก วันนี้ว่าจะแบกลังขนมปังเสียกลับมาลองหั่นดู แต่ว่าลืม เหอๆ) ก็จะมีวิธีการอบที่เยอะแยะมากอยู่พอควร ทุกอย่างทำเสร็จแล้วยัดห้องเย็น (ฟังดูน่าสยอง แถมหนาวมากกก) เสร็จแล้วงานหลักของเราอีกอย่างคือ ล้างจาน เพราะมันไม่มีใครทำ แล้วเราเองก็ไม่รู้จะทำอะไร ก็เลยเอาวะล้างจานไปเรื่อยๆละกัน ตอนนี้เรายังได้ทำกับพี่ออมอยู่ ก็จะช่วยๆกัน แต่เสาร์นี้ต้องแยกกันทำแล้ว น่ากลัวมาก แต่ไม่เป็นไรมีเดวิด (พ่อหัวฟ้า) แถมไม่ต้องเจอลุงเมเนเจอร์ด้วย (วูฮู้~) ก็หวังว่าเดวิดจะไม่ใจร้ายกับเรามากเกินไปนัก ฮือๆ อ่ะต่อนะ พอล้างจานไปซักพักคนก็จะเริ่มเยอะ สักประมาณสิบเอ็ดโมงคนจะเริ่มมาเรื่อยๆ แต่จะเรื่อยๆไงไม่เยอะมาก แต่พอเที่ยงกว่าๆ แถวจะยาวมากเกือบไปถึงประตู ตอนนั้นล่ะ เราก็จะทำกันมือเป็นระวิง เผื่อใครไม่เคยกินซับเวย์ก็จะอธิบายให้ฟังนะ เราจะแยกเป็นสามสเตชั่นละกัน มีส่วนเนื้อกับขนมปัง ส่วนผักแล้วก็แคชเชียร์ ส่วนเนื้อก็จะรับผิดชอบถามว่าจะกินแซนด์วิชอะไร ใส่ขนมปังแบบไหน และกินแบบฟุตลอง (สิบสองนิ้ว) หรือฮาฟ (หกนิ้ว) คือขนมปังมีห้าแบบละ จะเรียงในตู้หลังเคาท์เตอร์ตามสเตปดังนี้คือ Italian หรือ White Bread จะเป็นขนมปังขาวที่เราเห็นกันทั่วไป (มั้ง) เสร็จแล้วก็ Wheat, Italian Herbs&Cheese, Honey Oat แล้วก็ Parmesan Oregano ส่วนอีไส้มันเนี่ย (ที่เราพยายามเล่นเกมอยู่กับหมิงแล้วก็ท่องยังกะจะเอาไปสอบอ่ะนะ) มีประมาณสิบกว่าไส้ได้ เกือบยี่สิบ ก็ต้องจำว่าใส่อะไรเท่าไหร่ เช่น Subway Melts ต้องใส่ Turkey 4/Ham 4/Bacon 4 ถ้าใส่ชีสด้วยก็ต้องถามอีกเอาชีสอะไร แล้วใส่ไปสี่ชิ้น ร้านเรามีชีสสี่แบบ American สามเหลี่ยม/Provelone ครึ่งวงกลม (เขียนไงไม่รู้แฮะ)/Swiss มีรู/Mix ฝอยๆ (เป็น cheddar แบบผสม) ใส่เสร็จก็ถามว่าจะให้อบไหม ถ้าไม่อบก็ส่งไปสเตชั่นผัก แต่ถ้าอบก็ต้องเอาไปอบ บางคนไม่อบ แต่กินไก่เงี้ย ไก่ก็ต้องเอาไปอุ่นในไมโครเวฟ เพราะว่าไก่มันเย็นเจี๊ยบเลย แต่ก็มีบางคนกินเย็นๆยังงั้นก็มีเหมือนกัน ในส่วนของผักก็จะมี ผักมากมายขี้เกียจจะสาธยาย ก็ต้องโรยไปตามเค้าบอก บางคนก็ชอบสั่งแบบเยอะๆๆๆ แต่พอจะปิดแซนด์วิชที โหย ไส้ทะลัก พอใส่ผักตามที่เค้าบอกเสร็จก็ใส่ซอส มีประมาณแปดชนิดมั้ง ก็จำไว้ว่าแบบที่มันเป็นน้ำๆใส่ผัก ครีมๆใส่เนื้อ เสร็จแล้วก็ถามว่าจะเอาท้อปปิ้งอะไรไหม บ้างคนเอาเกลือ พริกไทย ชีส ออริกาโน อะไรก็ว่าไป เสร็จแล้วจริงๆต้องถามว่าแซนด์วิชที่เราทำให้เค้าดูดีแล้วหรือยังด้วย แต่เราไม่กล้าถามเว้ย กลัวมันตอบว่ายังไม่สวย เดี๋ยวแม่งต้องทำใหม่ ฮ่าๆๆๆ การปิดแซนด์วิชแล้วห่อ เหมือนจะง่ายนะ แต่แบบต้องอาศัยทักษะเหมือนกันนะ ถ้าเป็นแบบฟุตลองปิดแล้วก็ต้องหั่นครึ่งด้วย บางทีไส้มันย้อยจริงๆ แต่เราก็แบบช่างมันเถอะ เพราะตอนปิดแซนด์วิชแล้วห่อ ลูกค้าจะไปจ่ายตังค์แล้ว ในส่วนของแคชเชียร์ก็จะถามว่าเออ เอาไรเพิ่มใหม่ เป็นเซตหรือเปล่า อะไรงี้ จริงๆเค้าก็สอนกดคร่าวๆละแต่เรายังไม่ได้รับอนุญาตให้กดอย่างเป็นทางการ ก็ห่อไปเถอะวันๆ งานก็จะประมาณนี้ทุกวัน ลูกค้าบางคนน่ารักมาก เห็นเราเอ๋อๆ ก็จะสั่งช้าๆชัดๆ ถามซ้ำก็ไม่ว่า ยิ้มไป มีคนนึงคงมาหลายรอบแล้วถามเราว่า "อ้าว ยังอยู่ช่วงเทรนอยู่อีกเรอะ" เอ่อะ นะ เค้าก็จะรู้แล้วก็ค่อยๆสั่ง แต่ก็มีลูกค้าบางคนเรื่องมากกก จนเราแบบ มาเลยเจ๊ เจ๊มาใส่เองเลยมั้ยคะะะ! มีคนนึงใส่แตงกวาดองหนึ่งชิ้นแบบหั่นครึ่ง เราแบบ ... เอ่อะ จะได้รสไหม หรือมันเป็นสูตรคุณนายแก ช่างเถอะ ทำแล้วก็ได้เห็นคนแปลกๆเยอะดี บางคนทำหน้ารังเกียจบอกเราว่า ไปเปลี่ยนถุงมือใหม่ได้ไหม =.= เราก็ไม่ว่าอะไรนะ แต่ตอนมันพูดฟังไม่รู้เรื่อง ฮ่าๆ (อย่าชวนคุยนอกเหนือเรื่องอาหาร ไม่งั้นจะไม่สามารถตอบโต้ได้) บางคนก็แบบขอมีดหั่นขนมปังสะอาดๆหน่อยได้ไหม ถ้าไปอยู่ไทยเรื่องมากแบบนี้ โดนอาฆาตแหงๆ แต่ที่นี่ไม่นะ แบบขอมาทำให้หมด เราก็ยิ้มใส่ทุกคนก่อนเลย อย่างน้อยถึงมันหิวกันมาแต่มันเห็นคนขายยิ้มมันก็คงยังปราณีอยู่บ้าง นอกเหนือจากงานตรงเคาท์เตอร์กับในครัวก็มีต้องไปเช็ดโต๊ะบ้าง ถูพื้นบ้าง คือต้องยุ่งตลอดเวลาไม่งั้นลุงเมเนเจอร์แกจะคาดโทษเอาได้

เพื่อนร่วมงาน
รู้สึกว่าเขียนยาวไปละ แต่เอาเถอะ ฮ่าๆๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อยากเม้าท์มากนะ เพราะเพื่อนร่วมงานก็เป็นจุดสำคัญที่ทำให้บรรยากาศของร้านเปลี่ยนไปได้เลยอ่ะ อิจฉาหมิงกับพี่มิ้มนะ เค้าแบบเพื่อนร่วมงานฟังดูน่ารักดี อาจจะได้ชั่วโมงทำงานน้อยกันไปหน่อย แต่เค้าดูแบบเฮฮา อายุก็พอๆกัน กลับก็มีคนมาส่งไรงี้ มีชวนไปเที่ยว คือมันก็มีบรรยากาศการทำงานที่ดีไง

แต่คือร้านเราอ่ะนะ คนละเรื่องเลย แบบทุกคนเป็นผู้ใหญ่เกือบทั้งหมด ยกเว้นริคที่น่าจะอายุพอๆกับเรา หรือน้อยกว่า อย่างเมเนเจอร์งี้ ถ้าอยู่คือร้านจะเครียดขึ้นมาทันทีในความรู้สึกเรา คือทุกคนจะแบบทำตัวยุ่งตลอด ทั้งๆที่มันก็ไม่มีไรต้องทำมากมายขนาดนั้น เวลาทำผิดเค้าจะไม่บอกตรงๆนะ ไม่ได้ดุด่าอะไร แต่ถ้าเค้ามองหน้านิ่งๆเมื่อไหร่ ให้รู้ตัวทันทีว่าแม่งมี something wrong แหงๆ คือเค้าเป็นคนดี เป็นคนเฮฮาด้วยบางที แต่เวลางานคือจริงจัง เราก็พยายามเข้าใจเพราะเค้าเป็นผู้จัดการด้วย เล่นมากก็ไม่ได้ แต่ไม่รู้ทำไมอยู่กับเค้าแล้วเราไม่สบายใจเลยซักนิดเดียว ภาวนาให้เค้าออกไปข้างนอกทุกวัน 555

อีกคนนึงที่เราได้ทำงานด้วย คือพูดง่ายๆเค้าเป็นเทรนเนอร์เรา คือ เจสสิก้า ก็ดูเป็นคนคล่องนะ เพราะทำงานมานานพอสมควร สองปีได้มั้ง ก็จะทำอะไรเร็วๆ คอยสอนนั่นนี่ แต่นอกเหนือจากเรื่องงานเค้าจะไม่ค่อยพูด ถามได้เค้าไม่ว่าอะไร คือเป็นคนที่โอเคแหละ แต่อาจจะด้วยอายุที่ต่างกัน แต่เพศเดียวกัน แล้วเค้าก็ค่อนข้างละเอียดบวกกับทำงานมานาน ทำให้เราแอบเกรงๆอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่ถึงขั้นลุงผู้จัดการไง อย่างน้อยเค้าก็ชิวกว่า

อีกคนคือ พ่อจักรยานเขียว หรือ ริค (ฮ่าๆๆ) ที่เรียกแบบนี้เพราะวันแรกที่เจอมันปั่นจักรยานเขียวมา หน้าตาโอเคเลยอ่ะ สำหรับเราถือว่าดูดี แต่งตัวก็ฮิปฮอปนิดๆ แรกๆที่ได้ทำงานด้วยกัน เกลียดมันมากกก นรกที่สุด คือมันไม่พูดไม่จาอะไรกับเราเลย ทิ้งเราทำงานไป มันก็คุยกับคนอื่นไป แต่ถ้าคนอื่นไม่อยู่มันก็จะหาเรื่องไม่อยู่กับพวกเราเหมือนกัน นิ่งๆเงียบๆไปเลย ตอนแรกเรากับพี่ออมก็แบบ อีตานี่ มนุษยสัมพันธ์แย่จริงๆ มีวันนึงที่ต้องทำงานกับมัน ตอนแรกเราแบบ เอี้ย ใครก็ได้ แต่ไม่ใช่ไอ้นี่ด้วยเถอะ ได้โปรดดด ก็เกลียดขี้หน้ามันไปประมาณสองสามวัน แต่พอได้ทำงานจริงๆมันก็เป็นคนใช้ได้ แถมเป็นคนที่ทำให้บรรยากาศการทำงานไม่เครียดด้วย คือเราเดาว่ามันก็คงเป็นคนขี้อายอ่ะ ไม่กล้าทักไม่กล้าคุยกับเรา เพราะเราอยู่กันสองคน ชอบคุยจุกจิกกันเป็นภาษาไทย แต่พอได้ทำงานด้วยกัน มันช่วยตลอดนะ เราก็หลังๆถามมันริคนี่กดอะไร ริคนี่ใส่อะไร เป็นคนใช้ได้เลยล่ะ เรียกเราอะไรนะ ... ออมมี่ โฮมมี่อะไรของมัน ก็เลยรู้สึกเออ ก็เริ่มคุ้นเคยกันแล้วมั้ง อย่างน้อยมีมันก็ทำให้ฮาได้ ไม่ต้องเครียด

สุดท้ายที่ได้รู้จักในร้าน เป็นฮีโร่เรามาก คือเดวิด หรือพ่อหัวฟ้า จริงๆเค้ายอมตรงกลางหัวเค้าเป็นสีน้ำเงินนะ แต่เราว่าสีน้ำเงินมันเรียกยากไป เรียกหัวฟ้านี่แหละ ฮ่าๆๆ เค้าก็จะผมยาว พูดน้อย ตอนแรกเราก็แบบ นี่ฉันต้องทำงานกับมนุษย์ผู้นี่หรือ วันๆจะได้พูดบ้างไหม ... พอเอาเข้าจริงก็ไม่ได้พูดแหละ ฮ่าๆๆๆ แต่เค้าดีมาก มาชวนคุย เหมือนเค้าก็เพิ่งเริ่มงานได้ไม่กี่เดือน ก็คงเข้าใจเราอ่ะ ชอบบอก เนี่ยทำได้ดีแล้วจริงๆนะ บางทีก็ถาม เครียดไหม เป็นอะไรหรือเปล่า เห็นเราหน้าแย่ๆก็ถามตลอด เราเลยรู้สึกดีว่า เออ ถ้ามีคนนี้แล้ว เราคงไม่เป็นไร เค้าก็บอกมีไรถามได้ตลอดนะ คอยบอกโน่นนี่ให้เรา พยายามจะชมส่วนที่เราทำได้ดีอ่ะ แล้วก็บอกก่อนหน้านี้เค้าก็โดนมาเยอะเหมือนกัน อาทิตย์หน้านี้เค้าอยู่ปิดร้านตลอดเลย คือเราทำงานกับพี่ออมสลับกันแล้วไง แล้วต้องอยู่ปิดร้าน เรายังคิดในใจ กุจะกลับยังไง ร้านปิดห้าทุ่ม รถหมดทุ่มนึง แต่นึกไปถึงเค้าอ่ะ เค้าต่อรถตั้งสองต่อ แล้วรถก็หมดเหมือนกัน แล้วเค้าจะกลับยังไง ไหนยังจะต้องมาดูแลเราอีก คือ ก็รู้สึกดี เหมือนว่าการที่เค้ายอมทำตรงนี้ มันก็ทำให้เรารู้สึกอุ่นใจว่า เออ ดึกไม่เป็นไรวะ ทำกับเดวิด มีครั้งนึงที่เราทำไปแล้วแย่อ่ะ วันที่ทำเนื้อแรกๆ เค้าก็มาบอก ทำไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็ดีขึ้น เร็วขึ้น วันนี้ก็ทำเร็วขึ้นแล้วนะ ขออย่างเดียวนะ อย่ายอมแพ้ เราาแบบ โถ พ่อหัวฟ้า ช่างเป็นคนดีจริงๆ ก็ถึงจะพูดน้อย แต่เค้าเป็นคนช่างสังเกตและเข้าใจคนอื่นดีมากนะ เป็นคนเดียวที่เล่าเรื่องตัวเองให้เราฟัง และถามเรื่องของเรา ถ้าได้ทำงานกับเค้าก็ดีอ่ะแหละ ดีใจเหมือนกันที่อาทิตย์หน้าได้ทำงานกับเค้าซะเป็นส่วนใหญ่ อย่างน้อยก็ไม่มีใครคอยจ้องจะคาดโทษ เหอๆๆๆ แค่ทำกับลูกค้ามันก็กดดันพอละไง มาเจอคนในร้านกดดันอีก เราแบบ จะเป็นบ้าแล้วโว้ย แต่เดวิดจะช่วยตลอด แนะนำโน่นนี่ ก็คล้ายๆริค แต่ริคไม่ค่อยแนะนำ หยิบไปทำเลย เพราะมันทนดูเราทำไม่ได้ คงเกะกะลูกกะตามัน 555 เดวิดจงเจริญ =.=

สรุปนะ งานนี้ยากเป็นสองเท่าสำหรับเรา นอกจากจะต้องดีลกับลูกค้า จำเมนูและทำแซนด์วิชให้ได้แล้ว เรายังต้องฟังลูกค้าให้รู้เรื่องด้วย คือเรื่องภาษาก็สำคัญมาก ถ้าลูกค้าดีก็ดีไป แต่ถ้าลูกค้าเรื่องมาก ขี้หงุดหงิดหน่อย เราก็ต้องทนให้ได้ เรียกหาตัวช่วยตลอดเว 555 ฮืออ ก็ต้องสู้ต่อไป ยังไม่ยอมแพ้หรอก ถึงแม้จะเหนื่อยมาก และเครียดมาก แต่จริงๆมันก็เป็นงานที่สนุกดีเหมือนกัน ชอบนะ แต่ก็รู้สึกว่าเออ มันกดดันไปหน่อยนึง เดี๋ยวคงชิน ร้านนี้ดีอย่างคือ ให้ชั่วโมงเราชัดเจน พยายามเบียดตารางกับลูกน้องคนอื่นๆให้เราได้ชั่วโมง ถึงจะไม่เยอะขนาดแบบแปดชั่วโมง แต่ก็ค่อนข้างเยอะและเป็นระบบดี เพราะไปดูๆแล้ว พนักงานคนอื่น ชั่วโมงก็โดนลดเหมือนกัน เหมือนกับต้องแบ่งมาให้เราไรงี้ ก็ถือว่าดีแหละ เราก็จะสู้ต่อไป เพื่อให้คนอื่นๆยอมรับให้ได้! (เรื่องเงินนี่เลิกพูดไปเลย ขาดทุนย่อยยับ กินเยอะมากกกเดี๋ยวนี้ ฮ่าๆๆ)




2 comentarios:

  1. สู้ๆนะเว่ยมึง ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้ สู้ๆ
    ปล กูแอบสนใจพ่อหัวฟ้าของมึงวะ 555555 ทำตรงไหนวะ ว่างๆกูจะแวะไปเยี่ยม ฮ่าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา

    ResponderEliminar
  2. ม่ายเปนไรมึง อย่างน้อยมึงได้กำไรประสบการณ์สุดๆอ่ะ
    กูอ่านไดรั้งนี้แล้วหิวมากกกกกกกกก เพราะตอนอ่านยังม่ายด้ายกินไร นึกภาพตามตล๊อดดดด หิวววววววววๆๆๆๆ

    แต่เข้าใจว่ะ งานมึงมันเครียด แล้วยิ่งถ้าเปนกู อาจจาร้องไห้ ฆ่าัตัวตาย เพราะสิ่งที่กูเกลียดที่สุด คือการโดนกดดัน กูคงรับม่ายด้ายสุดๆ

    เอ๊ะๆ ดูพ่อหัวฟ้าเค้าจาดีกับมึงมากนะ เค้าโสดป่ะ แล้วเค้ารุป่ะว่ามึงมีแฟนแล้ว

    เออะ แต่อีเอมมี่คะ ม่ายค่อยเลยนะคะ แล้วไอ้แดเนียลกับไอโฮมเลสมึงล่ะ

    ออม วันไหนเอมมี่จาไปเยี่ยม มึงบอกหัวฟ้าให้หลบๆไปด้วยนะ เด๋วโดนจับกินตับ 555555555

    คิดถึงงงงงงงงงทุกคนเลยยยยยยยยย ตอนนี้กูกำลังบ้าผลิตภัณฑ์ความงามหลากหลายแบรนด์มากเลย อิอิ นั่งอ่านรีวิวท้างงงงวันน 555

    ResponderEliminar