sábado, 21 de junio de 2014

มหากาพย์แดนกระทิง :: บิลเบาวันที่หนึ่ง (The Very First Day in Bilbao, Spain)

เราเชื่อว่าคงมีคนไม่น้อย ที่ได้ออกเดินทางไปเห็นโลกกว้างแล้ว อยากจะกลับมาบันทึกเรื่องราวเหล่านั้นเก็บไว้เป็นความทรงจำดีๆ และแบ่งปันให้ชาวโลกได้อ่านเรื่องราวของตัวเองบ้าง

เราเองก็คิดแบบนั้นนะ และคิดอยากทำมานานมากแล้วตั้งแต่เริ่มเดินทางใหม่ๆ วันนี้นึกครึ้มอกครึ้มใจ เลยตัดสินใจหยิบเรื่อง "มหากาพย์แดนกระทิง" ของเรามาลงบล็อค ตั้งใจว่ายังไงก็จะเขียนให้ครบทุกเมืองที่รองเท้าเน่าๆของเราได้เหยียบย่างไปถึง เพราะสเปนเป็นประเทศที่เราประทับใจมากประเทศหนึ่ง เป็นประเทศที่เราได้เที่ยวตามแบบที่เราชอบจริงๆ ได้วางแผนเอง ได้ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง เลยคิดว่าการมาแบ่งปันให้ใครได้อ่าน อาจจะช่วยจุดประกายให้คนๆนั้นได้ออกเดินทางไปตามเส้นทางที่ได้วางแผนไว้ตั้งแต่ชาติปางก่อนบ้างก็เป็นได้

โอเค ไม่อารัมภบทนาน 
ตัดฉากไปบนรถทัวร์ที่มุ่งหน้าออกจากกรุงมาดริดค่ะ... 

ออกนอกเมือง


เมืองแรกที่เราจะมุ่งหน้าไปชื่อเมืองบิลเบา (Bilbao) ตั้งอยู่ในแคว้น País Vasco หรือแคว้นบาสก์ หลายคนรู้จักกันดีเพราะเป็นแคว้นที่มีข่าวอยากแยกตัวออกมาตั้งประเทศเองใจจะขาดอีกแคว้น นอกเหนือไปจากแคว้นกาตาลุนญ่า ที่ตั้งเมืองบาร์เซโลนา

บิลเบาสำหรับเราเหมือนสาวชิคๆคนนึงที่หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีของตัวเอง ก็จะไม่ให้หยิ่งได้ยังไง ในเมื่อแคว้นบาสก์เป็นหนึ่งในแคว้นที่ร่ำรวยและทำเงินเข้าประเทศได้มากที่สุด มีภาษาใช้ของตัวเอง อีกทั้งภาษานั้นยังเป็นภาษาที่ไม่ได้มีรากเดียวกับภาษาสเปนด้วย ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนนี้ทำให้คนบาสก์ไม่รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับสเปนเอาเสียเลย 

รถทัวร์จากมาดริดไปบิลเบาใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง เราออกเดินทางกันตั้งแต่เก้าโมงเช้า ถึงบิลเบากันตอนบ่าย พร้อมเช็คอินเข้าที่พักได้พอดิบพอดี (แต่ชีวิตจริงของพวกเราไม่ได้รวดเร็วง่ายดายขนาดนั้น) 
ตลอดการเดินทางเราใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการหลับ คณะเดินทางของเรามีกันห้าคน และเราดันอาสาไปนั่งกับใครที่ไหนก็ไม่รู้ ทันทีที่ขึ้นรถก็เลยได้แค่หลับปุ๋ยไปตามสภาพ ลืมตาขึ้นมาก็เห็นแค่แผ่นดินเรียบๆแบนๆ มีเนินเล็กน้อย มีทุ่งหญ้าสีทอง สีเขียว สีน้ำตาล สลับกันไปมาเหมือนภาพตัดแปะที่เด็กอนุบาลฝึกทำในชั่วโมงศิลปะ เราชอบนะ เราชอบความสะเปะสะปะของภูมิทัศน์นอกเมืองใหญ่ในสเปน มันดูแห้งแล้ง เวิ้งว้าง แต่ก็ดูมีศิลปะอยู่ในที 

รถทัวร์ของเราจอดแวะพักหลายจุดอยู่เหมือนกัน พวกเราก็เดินขึ้นๆลงๆ กะแค่ลงไปเหยียดแข้งเหยียดขาเป็นพอ และหลังจากที่งีบหลับไปหลายรอบ พวกเราก็มาถึงจุดหมาย...

พระอาทิตย์ยิ้มแฉ่ง

แวบแรกที่เห็นบิลเบา รู้สึกเหมือนเมืองนี้เป็นเมืองที่ซุกซ่อนอยู่ในหุบเขา ทั้งที่จริงๆแล้วมันไม่ได้ลึกลับซับซ้อนอะไรขนาดนั้น เพราะตัวเมืองก็ใหญ่พอตัว เห็นภูเขาอยู่ไกลลิบ ไม่ใช่เมืองเล็กๆกระจุ๋มกระจิ๋มตั้งอยู่บนเขาแบบเมืองยุโรปสวยๆเขาเป็นกัน แต่เราก็รู้สึกถึง "ความเป็นส่วนตัว" ที่บิลเบาพรีเซ้นท์ตัวเองให้เราเห็นตั้งแต่ลืมตานะ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ตัวเมืองบิลเบามีแม่น้ำ Nervión ตัดผ่าน ฟากหนึ่งของแม่น้ำคือย่านใจกลางเมือง เป็นที่ตั้งของร้านรวง พิพิธภัณฑ์ ร้านอาหาร และสถานทางราชการที่สำคัญต่างๆหลายแห่ง ส่วนอีกฟากของแม่น้ำ คือ Casco Viejo หรือ ย่านเมืองเก่าของบิลเบา  

เมื่อลงมาจากรถ อย่างแรกที่พวกเราทำคือ ซื้อตั๋วเตรียมไปเมืองอัสตูเรียสต่อ โดยซื้อกันจากตู้ขายตั๋วอัตโนมัติที่สถานีรถบัส เลือกที่นั่งกันได้เลยเรียบร้อย เมื่อซื้อตั๋วเสร็จ พวกเราค่อยเดินลงมาขึ้นรถไฟใต้ดิน เพื่อเดินทางไปยังที่พัก

รถไฟใต้ดินของบิลเบาสะอาดใช้ได้ ชานชาลาโปร่ง โล่ง สว่าง เพดานสูง ชวนให้คิดถึงถ้ำที่ได้รับการปรับปรุงให้กลายเป็นห้องทดลองวิทยาศาสตร์เหมือนที่หนัง Sci-Fi หรือหนัง Superhero เขามีกัน 

รถไฟใต้ดินบิลเบาโล่ง (อาจเป็นเพราะไม่ใช่เวลาเร่งด่วน แถมยังเป็นช่วงวันหยุดยาวอีสเตอร์ด้วย) คนบางตา ไม่จอแจ ให้ความรู้สึกเหมือนนั่ง MRT ที่ไทยกลับบ้านตอนห้าทุ่ม จากสถานีรถบัสใช้เวลาเดินทางไม่นานเราก็ถึงสถานี Deusto อันเป็นที่หมาย เราขึ้นจากใต้ดินมาจ๊ะเอ๋กับแดดยามเที่ยงที่ขยันส่งคลื่นความร้อนลงมายังเปลือกโลกและปล่อยพลังแสงอย่างเต็มที่ ราวกับรู้ว่าวันต่อๆมาจะไม่มีโอกาสได้ออกมาเริงร่าเต็มที่อีกแล้ว 

พวกเรากางแผนที่ มองซ้ายมองขวา ความหิวที่โจมตีกระเพราะและความเหน็ดเหนื่อยจากการนั่งรถทำให้เรารู้สึกว่าทางเดินต่อไปที่พักช่างห่างไกลเสียเหลือเกิน เราเดิน เดิน เดิน เดินจนขาลากก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าโฮสเทลของเราจะแอบอยู่ตามมุมตึกที่ไหน ขณะที่กำลังรู้สึกว่าหลงทาง เราก็แทบไม่ต้องหาตัวช่วยที่ไหนไกล คุณลุงคนหนึ่งที่เดินอยู่แถวนั้นเห็นท่าทีเก้ๆกังๆของเราทั้งห้า ก็ขันอาสามาช่วยเราดูทางอย่างกระตือรือร้น 

พวกเราทั้งห้ามาถึงที่พักอย่างปลอดภัย รู้สึกปลื้มใจในความเป็นมิตรของคนเมืองนี้กันตั้งแต่เริ่มทริป ที่พักของพวกเราในคืนนี้ คือโฮสเทลที่มีชื่อว่า 'Bilbao Akelarre Hostel' เป็นโฮสเทลขนาดไม่ใหญ่มาก กำแพงด้านนอกทาสีเทาทึมๆ มีลายเป็นรูปแมวตัวใหญ่สีดำ รูปแม่มด นกฮูก ฯลฯ แซมด้วยสีแดงเล็กๆ พอให้ดูสดใส มองเผินๆเหมือนจะกลมกลืนไปกับกำแพงที่โดนพ่นสีของตึกแถวนั้น ภายในโฮสเทลตกแต่งด้วยโทนสีดำ แดง ขาว เป็นหลัก มีเคาท์เตอร์เล็กๆของ reception มีครัวเล็กๆ มีโซฟานั่งเล่นพร้อมทีวี  มีมุมเก็บแผนที่-ไกด์บุคให้นักท่องเที่ยวได้อ่าน สำหรับคนที่ต้องการใช้คอมพิวเตอร์ที่นี่ก็มีให้ใช้ แต่สำหรับเรามีไอโฟนเครื่องเดียวกับ Wifi เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

ห้องพักของเราจริงๆแล้วเป็นห้องแบบพักได้ 8 คน แต่เนื่องจากพนักงานใจดีมาก จึงอัพเกรดห้องให้เราเป็นห้องสำหรับ 6 คนแทน และเนื่องจากพวกเรามีกันตั้ง 5 คน จึงเสมือนว่ายึดห้องนั้นเป็นของตัวเองไปเลย วะฮะฮะฮ่ะ 

ห้องพักเป็นเตียงสองชั้นสามเตียง ไม่ใหญ่นัก พอพักได้สบายๆ พวกเรารื้อสมบัติกันอย่างวุ่นวายเกลื่อนห้อง ลืมไปเสียสนิทว่าอาจจะมีคนที่เดินทางคนเดียวมาเข้าพักห้องนี้อีกคนก็ได้ เพราะห้องเรายังมีเตียงว่างอยู่หนึ่งเตียง แต่ก็โชคดีไปว่าไม่มีใครมาพักเพิ่มในห้องของเรา เตียงนั้นจึงกลายเป็นที่วางของและราวตากผ้าไปโดยปริยาย ... 

ห้องน้ำของโฮสเทล เป็นห้องน้ำแบบรวม ส่วนตัวเราไม่มีปัญหา ปกติก็ไม่ค่อยอาบน้ำอยู่แล้ว (หะ?) และตอนไปอาร์เจนตินา เคยพักห้องรวม อาบน้ำห้องรวมเหมือนกัน ชีวิตสมบุกสมบันกว่านี้อีก (อาบน้ำรวมหมายถึงต้องใช้ห้องน้ำร่วมกับคนอื่นนะ ไม่ใช่ใส่กระโจมอก หิ้วขันพร้อมแปรงสีฟัน ไปอาบรวมกับชาวบ้านแบบนั้น) 

หลังจากสำรวจห้องพักและนั่งกันจนหายเมื่อยแล้ว พวกเราก็เตรียมตัวออกเดินทางสำรวจเมืองกันต่อ เจ้าหน้าที่ของโฮสเทลกางแผนที่พร้อมอธิบายสถานที่ต่างๆที่เราควรไปเยี่ยมชมอย่างคร่าวๆ พวกเราถามร้านอาหารอร่อยๆเผื่อเอาไว้มื้อเย็นด้วย กะว่าวันนี้บิลเบาคงจะคึกคักต้อนรับพวกเราเป็นแน่ แต่เจ้าหน้าที่แอบเตือนเราไว้ก่อนแล้วว่า เมืองจะเงียบเหงากว่าปกติ เพราะช่วงนี้ยังเป็นช่วงหยุดอีสเตอร์

ถึงได้ยินแบบนั้นก็ไม่หวั่นค่าาา พวกเราแพลนกันคร่าวๆว่าวันนี้จะเดินรอบๆเมืองก่อน พรุ่งนี้ค่อยไปเที่ยวไฮไลท์ของเมืองซึ่งก็คือ พิพิธภัณฑ์กุกเกนไฮม์ (Giggenheim) พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยที่มีความโดดเด่นเป็นตัวตึกทรงประหลาด ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ภายนอกอาคารสะท้อนกับแดดวิบวับ ดูสวยแบบประหลาดๆ แต่ก็ถือว่าไม่ได้ขัดหูขัดตาแต่อย่างใด อาจเพราะบริเวณนั้นไม่ได้มีอาคารเก่าๆมากมายนัก สไตล์ล้ำสมัยของอาคารกุกเกนไฮม์จึงดูกลมกลืนไปกับทิวทัศน์บริเวณนั้นเป็นอย่างดี 

เราเดินข้ามแม่น้ำมา ไม่ได้มีเป้าหมายชัดเจนกันแต่อย่างใดว่าจะไปที่ไหน ก็ได้แต่ถ่ายรูปข้างทางไปเรื่อย สุดท้ายไปหยุดโพสท่าถ่ายกันจนสะใจกลางจตุรัส (Plaza) ใหญ่กลางเมือง ชื่อว่า Federico Moyúa ดอกไม้ที่ปลูกไว้รอบๆจตุรัสเริ่มจะบานสวย มีหรือเราจะรีบผ่านจุดนี้ไปง่ายๆ (ไม่ใช่อะไร คือ เดินและโพสท่ากันมาจนเมื่อยแล้วด้วย ฮ่าๆ ขอพักแป๊บ) 


ภาพถ่ายจากกลาง Plaza
รถเมล์เมืองนี้ชื่อน่ารักเชียว ชื่อ "บิลโบบุส" :)


ตอนนั้นเป็นช่วงเย็นพอสมควรแล้ว แดดไม่แรงมาก อากาศดี ผู้คนจึงออกมาเดินเล่นกันขวักไขว่ จตุรัสอยู่ท่ามกลางตึกสูงมากมาย จึงทำให้ไม่โดดแดดมากนัก เท่าที่พวกเรานั่งสังเกตกัน เมืองนี้ดูจะมีผู้สูงอายุอยู่มากพอสมควร แต่ละคนแต่งตัวดูดี ดูภูมิฐานมากจนพอเดาได้ว่าคนส่วนใหญ่ในเมืองนี้เป็นคนมีฐานะ 

ส่วนตัวเราแล้วเพิ่งจะมายุโรปเป็นครั้งแรก เลยไม่สามารถเปรียบเทียบได้ว่าบิลเบาเหมือนหรือแตกต่างจากยุโรปเมืองอื่นๆอย่างไร เรารู้แค่ว่าบิลเบาต่างจากเมืองอื่นๆในสเปนมากทีเดียว (อันที่จริงแคว้นแต่ละแแห่งของสเปนมีความโดดเด่นไม่เหมือนกันเลย นี่เป็นอีกจุดนึงที่ทำให้เราประทับใจสเปนมาก)

แม้ดอกไม้ที่จตุรัสจะเริ่มมีสีสันให้เราได้เห็นแล้ว แต่ต้นไม้รอบๆเมืองส่วนใหญ่ยังไม่ผลิใบเลย ต้นไม้ดูแห้งเหี่ยวและโดดเดี่ยวเหมือนอยู่ในฤดูหนาวไม่มีผิด แต่สารภาพตามตรงว่าเราชอบต้นไม้อารมณ์เหงาๆมากกว่านะ ต้นไม้แบบนั้นทำให้บิลเบาดูเป็นเมืองคลาสสิค 


บิลเบากับต้นไม้ที่ยังไม่ผลิใบ
พวกเราเดินผ่านศาลาว่าการของเมือง เดินผ่านตึกรามบ้านช่อง ชีวิตดูไร้จุดหมายกันมาก แม้จะพอมีร้านเครื่องสำอางเปิดให้พวกเรากรี๊ดกร๊าดอยู่เป็นระยะ แต่พวกเราก็พยายามจะข่มใจทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวผู้มีสาระ มองหาจุดหมายอื่นนอกเหนือการช้อปปิ้งต่อไป จนสุดท้ายเราตัดสินใจเดินไปหา Pintxo (ปินโช่) กินกันในย่านเมืองเก่าดีกว่า

พูดถึงอาหารขึ้นชื่อของแคว้นบาสก์ ทุกคนต้องห้ามพลาดชิม Pintxo (เหมือนพวกเรา T_T) เจ้า Pintxo ที่ว่านี้มีอยู่ตามบาร์ เป็นขนมปังสไลซ์เป็นแผ่น ส่วนใหญ่โปะหน้าด้วยปลา ไข่เจียวสเปน พริกยัดไส้ และอื่นๆเท่าที่แต่ละร้านจะสรรหาวิธีสร้างสรรค์เมนูขึ้นมาได้ แล้วเสียบยึดด้วยไม้จิ้มฟัน เวลากินจะได้สะดวก 

อย่างที่บอกไปแล้วว่าพวกเราตั้งใจจะไปชิม Pintxo กันในย่านเมืองเก่า พอเริ่มมีจุดหมาย ขาก็เริ่มก้าวออก (โดยเฉพาะจุดหมายที่เป็นอาหาร) แต่เดินกันวนรอบ Casco Viejo แล้ว ก็ยังไม่เห็นร้านขาย Pintxo สักร้าน ตัวเมืองเงียบเหงามากเหมือนเมืองร้าง มีบาร์เปิดอยู่บ้างประปรายตามซอกตึกมืดๆ แต่พวกเราไม่กล้าแวะ แค่เดินผ่านก็กลัวแล้วว่าจะโดนปล้นไหม เพราะแม้จะเป็นเมืองคนรวยอย่างบิลเบา แต่ก็ยังถือว่าเป็นสเปน ประเทศที่โจรขโมยมีเทคนิคในการขโมยแพรวพราวที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง 



Casco Viejo ที่เงียบเหงา

หลังจากสิ้นหวังกับเขตเมืองเก่า พวกเราตัดสินใจเดินเลียบแม่น้ำดีกว่า คิดไปเองว่าคงจะมีร้านอาหารดีๆเปิดอยู่บ้าง เราเดินกันจนมืดค่ำ หน้าชา ท้องร้อง สุดท้ายพระอาทิตย์ก็โบกมือลาโลก จนแล้วจนรอดก็ยังไม่เจอร้าน Pintxo สุดท้ายก็เลยตัดสินใจกันว่า เอาเถอะ กินอะไรก็ได้แล้วล่ะ ณ จุดนี้ แค่เดินลมยังจะพัดปลิว พอดีเหลือบกันไปเห็นร้านเคเอฟซี มีคนในกลุ่มเสนอว่า งั้นแวะกินเคเอฟซีเลยดีไหม 

... ทุกคนเงียบ ...

ความคิดของเราที่ไม่ได้ถ่ายทอดออกมาเป็นเสียงคือ "ทำไมเราต้องมากินไก่ผู้พันไกลถึงบิลเบาด้วย หะ..." 

เราเดินกลับไปยังฝั่งโฮสเทล เดินวนหลงทางกัน (อีกแล้ว) จนมีคนเข้ามาช่วยเหลือและแนะนำให้เราไปกินร้านไก่ย่างแถวๆนั้น  สุดท้ายเราหนีจากไก่ทอดเคเอฟซีมากินไก่ย่างเมืองบิลเบาแทน

บรรยากาศร้านชวนให้เรานึกถึงร้านสไตล์ไก่ย่างเขาสวนกวาง ไก่ย่างนิตยา อะไรแบบนั้น ควันในร้านโขมงโฉงเฉง กลิ่นหอมของไก่ลอยมาเตะจมูก พนักงานเดินกันฉับๆ คอยจัดโต๊ะ เก็บโต๊ะ ส่วนโต๊ะที่ว่าชวนให้เรานึกถึงโต๊ะร้านก๋วยเตี๋ยวแถวปากซอย ต่างกันตรงที่ ร้านนี้ปูกระดาษมาให้เรา เผื่อทิ้งกระดูกไก่ เศษอาหารอะไรได้เลยเสร็จสรรพ พนักงานขยำทิ้งรอบเดียว 

พวกเรานั่งโต๊ะ และเดินไปสั่งอาหาร ... เนื่องจากเวลาผ่านมาสองปีแล้ว เราจึงจำไม่ได้จริงๆว่าเราสั่งอะไรมากินบ้าง รู้แต่ได้ชิมไก่ของร้านนี้และค้นพบว่ามันเป็นไก่ที่อร่อยมากกกกกกกก (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่า ความอร่อยแปรผันไปตามระดับความหิว) 
หนังไก่กรอบแบบที่เราชอบ แต่เนื้อข้างในชุ่มฉ่ำ ไม่แห้ง ไม่แข็ง
กินอิ่มพุงกาง ก็ค่อยๆเดินกลับโฮสเทลอย่างสบายใจ ระหว่างทางแวะซื้อผลไม้กันในร้านค้าด้วย

กลับถึงที่พัก พวกเราเหนื่อยกันมาก
ตัวเราเองสลบไปเลยทั้งที่ยังไม่ได้อาบน้ำ ล้างหน้าล้างตา 
วันแรกในบิลเบาของเราจบลงแบบเหนื่อยอ่อน

แต่นี่แค่เริ่มต้น .... หนทางในสเปนของเรายังอีกไกล (มาก จนบางทีก็อดคิดไม่ได้ว่าไกลไปไหม -- แต่ก็นั่นล่ะ ถึงได้เป็นที่มาของมหากาพย์แดนกระทิง)