viernes, 18 de marzo de 2011

W&T: Here, in Orlando

ในที่สุดก็ถึง Orlando แล้วเป็นที่เรียบร้อย ตอนนี้อยู่ที่โรงแรมกับเอมมี่และหมิง เน็ตเครื่องเราต่อไม่ได้อยู่เครื่องเดียวไม่รู้เป็นอะไร T_T สงสัยคอมใกล้หมดสภาพอย่างจริงจังนะเนี่ย ต้องใช้คอมหมิง T,T

JOURNEY BEGINS
เราออกจากไทยตั้งแต่คืนวันจันทร์เวลา 23.50 น. ก็พยายามทำความรู้จักกับคนในกลุ่มไว้บ้างเล็กน้อย ทุกคนเป็นพี่ทั้งนั้นเลยล่ะ (โอสส) ตอนแรกนั่ง JAL มา ก็ยังไม่มีอะไรมาก แต่พอขึ้น AA ถึงได้รู้ว่า JAL นั้นแอร์โฮสเตสบริการดีกว่าประมาณล้านเท่า (เว่อร์สัด 555) ชอบ rice cracker บนเครื่องมาก มาถึงญี่ปุ่นประมาณเช้าๆ นั่งแช่เป็นวัน หลับกลิ้งในสนามบินเป็นสิบชั่วโมงได้มั้ง ถึงได้ต่อเครื่องไปอเมริกา... และแล้วคราวนี้ก็มีเซอร์ไพรส์เล็กน้อย เพราะทุกคนบินไปนิวยอร์กหมดเลย มีแค่เรากับหมิงไปชิคาโก... เราก็คิดว่าเออ อาจจะไปเจอกันที่ไมอามี่แต่เปล่าว่ะ ... คือเค้าต้องอยู่ที่นิวยอร์กกันเป็นวันๆถึงจะต่อเครื่องมาไมอามี่แล้วก็ออแลนโด ก็มาถึงโรงแรมกันประมาณเที่ยงๆได้

สรุปคือก็นั่งมาอเมริกากับหมิงสองคน ไฟลท์ไปชิคาโกนั้นถือว่ายาวนานที่สุด แถมไปถึงอีตม. นะ ต้องต่อแถวยาวมากกกเว่อ กลัวตกเครื่องมาก ไปถึงประมาณสามโมงยี่สิบ Boarding time จากชิคาโกไปไมอามี่เวลาสี่โมงครึ่ง ... คือนะ ตอนสี่โมงยังไม่ได้เข้าตม.เลยโว้ยค่ะ ... หวาดเสียวสุดๆ จากนั้นก็ต้องไปลากกระเป๋าเพื่อจะ transfer ไป Orlando แล้ววิ่งหูตั้งเพื่อไปขึ้นเครื่อง “แต่” แม่ง เหลือเวลาตอนนั้นอีกสิบนาที ไปถามพี่มืดขนกระเป๋าเค้าบอกว่า “You’ve just missed your flight” ห๊า ... อยากจะกรีดร้องออกมา อุตส่าห์รีบมา (สนามบินที่ชิคาโกใหญ่นรกแตกมาก) เค้าบอกให้ไปติดต่อที่พนักงานประจำสายการบิน เรากับหมิงก็เลยไป แล้วป้าแกใจดี๊ ใจดี ลัดคิวให้เราไปสแกนกระเป๋าก่อน แต่แม่ง ไม่ได้ช่วยเท่าไหร่ นรกที่สุด! วิ่งเกือบตายเกทไกลสัดดดมากกกกกกกก ปรากฏไปถึงเกิดการเลื่อนไฟลท์ จากบินห้าโมงเป็นบินห้าโมงสี่สิบห้า boarding time ห้าโมง เท่านั้นไม่พอ เปลี่ยนเครื่องบินและเกทด้วย ...
สรุปคือกูวิ่งมาเพื่อออ? ... ต้องเดินด๊อกแด๊กกลับไปอีกเกทนึงซึ่งไกลมากเช่นกัน (เกือบหอบตาย)
มาถึงไมอามี่อย่างง่วงๆ แล้วก็ต่อเครื่องไปออแลนโด ตอนแรกนึกว่าจะไม่ทันเพราะมันดีเลย์ แต่ปรากฏว่าไม่เป็นไร ถึงทันพอดี

@ORLANDO
ก็มาถึงออแลนโดโดยสวัสดิภาพ แต่แม่งงง พอมารับกระเป๋า กระเป๋าเสือกไม่มีซะงั้น พอพี่เอ๋มารับก็เลยไปที่เคาท์เตอร์ ติดต่อเค้า แล้วเค้าก็แบบเอาออกมาให้ เดาว่ามันคงมาถึงก่อนอ่ะนะ เหอๆ

เสร็จพี่เอ๋กับพี่อู๋ก็เอารถมารับ เพราะแค่สองคนไง แล้วก็มาติดต่อโรงแรม เป็น Extended hotel ก็โอเค หมิงนอนเตียงโซฟาไป ส่วนเราก็จองมุมนึงของเตียงใหญ่ไป เก็บของโน่นนี่นั่น แถมเล่นคอมอีกไปถึงประมาณตีสาม สลบไปเลย นอนสบายมาก
ตื่นมาด้วยเสียงนาฬิกาปลุกซึ่งกวนตีนมากค่า เป็นคล้ายๆกับเสียงวิทยุพูดสเปนกันแต่เช้า (สเปนตามหลอกหลอนมากที่นี่ เหอๆๆ)

FIRST DAY IN ORLANDO
ตื่นมาเริ่มโอเคขึ้น พูดจริงๆ แอบโฮมซิคอยู่หลายรอบมากเลยนะ คือคิดในใจกูกำลังจะไปลำบากของจริงแล้วเว้ยเห้ย ไม่อยากเลยอ่ะ แต่ถ้าไม่ทำ เมื่อไหร่จะโตวะ เมื่อไหร่จะทำอะไรๆได้ด้วยตัวเองซักที (มาที่นี่กุก็ยังคงพึ่งคนอื่นอยู่ค่า) เอาเป็นว่าก็คิดว่าลำบากวันนี้จะได้สบายในวันหน้า คือวันแรกนี้เอมมี่ก็จะมาอยู่ด้วย เราก็แอบกังวล เออ จะอยู่กันได้ไหมนะ อะไรยังไง ปรากฏว่าก็โอเค อีเอมมี่แม่งหลง (อันที่จริง เราโง่เองไปบอกที่อยู่มันผิด ฮ่าๆๆๆ) ก็มาถึงก่อนคนอื่นเล็กน้อย เม้าท์กันซักพัก พอคนอื่นมาปรากฏว่าเค้าอยากจะแชร์เป็นแบบสี่ สาม สอง คือมีกลุ่มที่มาสี่คนไง แล้วเค้าอยากนอนสี่คน เราก็เอ่อะ ทำไงล่ะนี่ ให้หารสองคนไม่ไหวนะคะ ตายห่า ก็ตกลงกันว่าอาทิตย์นี้จะหารกับเอมมี่ไปก่อน แล้วอาทิตย์หน้าค่อยไปหารกับพี่เค้า ก็แล้วแต่ว่าพี่เค้าจะมาอยู่กับเรา หรือจะอยู่กับเพื่อนต่อไปอ่ะนะ เห้อ ...
วันแรกก็ได้ฟังทอล์กโชว์จากเอมมี่ เฮฮากันไปกับพี่ๆสามคน แล้วก็พอพี่ๆคนอื่นขนของออกไปแล้ว (คือเค้าต้องเอาของมาไว้ห้องเราเพราะยังเช็คอินไม่ได้) พี่เอ๋ก็จะไปฟลอริด้ามอลล์พอดี ก็เลยตัดสินใจอ่ะ ติดรถไปด้วย ไปถึงก็หมดตัว 5555 เจอร้าน Sephora เลยสอยรองพื้นของ Make Up Forever มาซะเลยชิ้นนึง จ่ายไป 40 ดอล (แพงเห้ๆๆๆ) เสร็จแล้วไปซูปเปอร์วอลมาร์ทซื้อของมาทำกับข้าว รวมแล้วประมาณ 24 ดอล หารสามเหลือ 8 ดอล แม่งราคาแบบไม่หารยังถูกกว่าซื้อรองพื้นอีกเนี่ย โว้ววว
กลับมาที่โรงแรมก็ทำกับข้าว ทำไก่ทอดน้ำปลากับไก่ทอดพริกไทยดำ ซื้อข้าวมาหุง (จริงๆอย่าเรียกว่าหุงเลย เหอๆๆๆ) อร่อยดีเหมือนกัน กุก้ล้างจานตลอดเวเพราะทำกับข้าวไม่เป็น T-T ตอนดึกก็เล่นคอม ได้คุยกับแม่ด้วย วันแรกก็เลยจบไปอย่างเพลียๆฉะนั้นแล ~

LYNX’S DAY
วันที่สองเริ่มออกไปผจญภัย โดยตัดสินใจนั่งบัสที่ชื่อว่า Lynx ไปตามที่ต่างๆ ตอนแรกจะไปเอาท์เลต ก็ถามพนง.โรงแรมเค้าก็บอกนั่งสายนี้ไปนะ เดี๋ยวก็ถึง ตอนแรกนั่งรอที่ป้ายรถเมล์ไปก็แบบไม่เชื่อ เฮ้ย ขึ้นทางนี้แน่หรอ อาจจะขึ้นทางโน้นก็ได้นะ คิดเอาเองมากกกก เลยข้ามไปขึ้นสาย 37 ฝั่งโน้น พอรถมาก็เย้ๆดีใจ ขึ้นไปปรากฏ เวร ขึ้นผิดจริงๆด้วย ไปลงฟลอริด้ามอลล์ แล้วโดดขึ้นสาย 4 ต่อทันที (คิดอะไรกันอยู่วะ) เพราะเค้าให้ transfer รถฟรีภายในเวลาที่กำหนดก็เลยแบบเอ่อ ขึ้นๆไปเหอะ ปรากฏชิบหาย ไปไหนก็ไม่รู้แหละคราวนี้ รถไปอีกcounty นึงเลยคือ Osceola ไปเมือง Kissimmee ก็ไม่รู้จะลงไหน เลยเออ สุดสายเลยละกัน ไปลงมอลล์แห่งนึงซึ่งร้างมากกกกกก “แต่” อีเอมมี่ เจอฝรั่งมาเสนอตัว ขำมากกกกกกกกก (มันน่าจะเขียนไดอารี่นะ ไปติดตามอ่านของมันแล้วกัน เพื่อรายละเอียดเพิ่มเติม) เค้าบอกเดี๋ยว weekend นี้จะมีรถแล้วนะ เดี๋ยวจะพาไปรู้จักออแลนโด เราแบบ 55555 เออ ก็สบายดีนะ อยู่ที่นี่ถ้าไม่มีรถมันลำบากมากๆๆๆจริงๆ เสร็จแล้วก็นั่งสาย 57 กลับมาลงที่วอลมาร์ท กินเวนดี้ ขึ้นมาแพ็คของแล้วไปต่อ คราวนี้ต้องไป Outlet ให้ได้

เราก็คิดว่าเอองั้นนั่งสาย 37 ไปลงแถวๆ Universal แล้วกัน เพราะในแผนที่มันห่างจากเอาท์เลตแค่เพียงข้ามถนน แถมใกล้ๆเอาท์เลตยังมี subwayที่ต้องไป orientation วันจันทร์นี้ด้วย ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ปรากฏชิบหาย เดินวนแล้ววนอีก ก็เห็นเอาท์เลตอยู่ไกลลิบ เอาวะเนี่ยข้ามถนนนี้ไปก็ถึงละ แต่ชิบหายพอกำลังจะเดินออกฝ่าย security เรียก แว๊กกกกกกกกกกก บอกว่าเนี่ยข้ามไปไม่ได้นะเป็น highway ห้ามข้าม ต้องไปเรียกแท็กซี่ ถามสายรถเมล์ยัยเจ๊นั่นก็ไม่รู้อีก เลยเดินอ้อมกลับไปที่เดิมจะไปขึ้นแท็กซี่ เจอลุง security ขับรถคล้ายๆรถกอล์ฟมา อาสาจะไปส่ง เพิ่งรู้สึกดีกับคนในฟลอริด้าเป็นครั้งแรก พอไปถึงที่ขึ้นบัสกับแท็กซี่ก็เกิดเหตุขึ้นจนได้ ความคิดเห็นเกิดขัดแย้ง อารมณ์นอยกันไปจนถึงโรงแรม สรุปคือก็หาทางไป Festival Bay กับ Outlet เจอในที่สุด แต่ก็นะต้องแลกมากับอารมณ์ไม่ปกติของสมาชิกทั้งสามคน ก็แย่เหมือนกันนะ แต่ก็ได้อะไรหลายๆอย่าง ตอนนี้อารมณ์ทุกคนปกติแล้ว ก็ดีใจจัง T.T ตอนขึ้นรถมีประทับใจคนดำอยู่คนนึง เค้าหน้าตาค่อนข้างน่ากลัวนะ แล้วเรานั่งข้างเค้าไง เอากระเป๋าวางไว้ที่เท้า แล้วมีตอนนึงเค้าขยับตัว มาโดนกระเป๋าเราเค้าบอก Excuse me เราก็มองหน้าเค้าแบบว่า หือ ขอโทษอะไรยังไงทำไม เค้าก็เลยบอก I’m sorry แล้วยิ้มๆแบบขอโทษ เราแบบ โฮๆๆๆ น้ำตาน้ำมูกย้อย ซาบซึ้ง (บ้าไปแล้ว) โดนแค่เนี้ยนะ ไม่ต้องขอโทษก็ได้ เค้ามารยาทดีมากๆ ทำให้เรารู้สึกว่า เออ คนเรามันก็ตัดสินจากหน้าไม่ได้นะ คนดำน่ากลัวก็จริง แต่คนดีๆมีอยู่อีกเยอะมาก บางคนมารยาทดีกว่าคนขาวด้วยซ้ำไป ก็เป็นเรื่องประทับใจเล็กๆในวันนั้น ที่ทำให้รู้สึกดีกับคนที่นี่มากขึ้น เพราะเรารู้สึกไม่ชอบคนที่นี่อย่างจริงจังเลยแหละ อาจจะยังไม่เจอคนดีๆล่ะมั้ง เฮ้ออ


ลสรุปจากประสบการณ์ในสองสามวันนี้
-อยู่ที่นี่ไม่มีรถชิบหายมาก เพราะความเจริญไม่ได้กระจุกตัวอยู่แค่จุดใดจุดหนึ่งของเมือง แต่มันกระจายไปทั่ว แต่ละที่จึงไกลกันมาก ไม่เหมือนที่ไทยที่มีบีทีเอส มีใต้ดินคอยเชื่อม
-คนที่นี่ไม่ค่อยรู้เส้นทางรถเมล์เพราะส่วนใหญ่มีรถขับ ถามใครแม่งไม่มีใครรู้เลยสักคน เพราะฉะนั้นถ้าคิดจะมาหาแฟนที่นี่คงต้องถามก่อนเลยว่า เออ มึงมีรถมั้ยคะ
-คนที่นี่พูดสเปนเยอะมาก มากกกกซะจนเรารู้สึกว่าเออ นี่กูอยู่ละตินอเมริกาหรือเปล่า แม้แต่ช่างซ่อมและแม่บ้านโรงแรม ก็ยังพูดสเปน เราเลยพูดสเปนใส่เค้าไปซะ ปรากฏมีตอนนึง เค้าถามเราเป็นอิ๊ง เราฟังไม่รู้เรื่อง ป้าแกเลยใส่สเปนกลับมา อ้าว กูรู้เรื่อง เอ่อ... อะไรโว้ยเฮ้ย ระบบสมองกู ไม่รับอิ๊งแล้วใช่ไหม
-คนที่นี่พูดจาไม่รู้เรื่อง ... หรือเพราะไม่ชินก็ไม่รู้เหมือนกันแฮะ
-ที่นี่เป็นเมืองที่เดินไม่ได้ทุกซอกทุกมุม เหมือนต้องรู้แน่ชัดว่าเราจะไปที่ไหน ลงยังไง ไม่ใช่กะว่าจะไปลงเอาใกล้ๆเดี๋ยวเดินไปต่อ เพราะบางทีมันทำไม่ได้ มันเดินไม่ได้
-เอาจริงๆชักกลัวแล้วว่า พอไปทำงานจะรอดมั้ย เพราะเรารู้สึกลบกับคนที่นี่มากกว่าบวกอ่ะ เหอๆๆๆ เห็นด้วยกับพิมนะที่บอกว่าคนอาเจนเฟรนด์ลี่รองจากคนไทย อันที่จริงเราคิดว่าส่วนมากอเมริกาใต้ทุกคนเฟรนด์ลี่แทบจะทั้งนั้น บางทีการอยู่ในสังคมแบบนั้นมากไป ทำให้เราคาดหวังเหมือนกันว่าสังคมนี้จะต้องเป็นแบบนั้นด้วย เห้อออ

Gotta go. More photos will be uploaded soon. Please check out my facebook.
Love you guys,
have a good day
xoxoxo
aom

4 comentarios:

  1. ก๊ากกกกกกกก หนุกดีนะมึง ชีวิตผจญภัยของพวกเรา

    ResponderEliminar
  2. หมิงช่วยออมแบกกระเป๋าด้วยที่สนามบินไม่เห็นเขียนเลย ใจร้ายที่ซู้ดดด

    ResponderEliminar
  3. เอมมี่ มึงสมัครไว้เม้นท์เฉยๆ หรือมึงมีบล็อกด้วยเนี่ยยยย ไมกูเปิดของมึงม่ายเหนมีเลยยยย

    ปล. ตอนนี้เรื่องของพวกมึงจะเปนนิยายเรื่องเดียวที่กูติดตามตลอดซัมเมอร์ีนี้ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ

    ปล2. เสือกเปนภาษาสเปนอีก กูยิ่งม่ายเคยเม้นท์อยุด้วย ต้องงมๆเดาๆเอา 5555555

    ResponderEliminar
  4. มีำไรมึงก้อมาบอกต่ออีกนะ อ่านแล้วได้ความรู้ไปอีกแบบ อิอิ

    ResponderEliminar