ตั้งใจจะเขียนเล่าประสบการณ์การสอบโทเฟลตั้งแต่หลังจากสอบเสร็จใหม่ๆ แต่ด้วยอะไรก็ไม่รู้มากมายในช่วงนั้น ทำให้ไม่ได้นั่งเขียนประสบการณ์ตัวเองสักที จนวันนี้ วันที่รับทราบผลสอบปริญญาโทเรียบร้อยแล้ว เลยคิดว่าเอาเรื่องสอบโทเฟลกลับมาเล่าหน่อยดีกว่า
เตรียมตัวยังไงบ้าง?
สิ่งที่ฝึกเยอะหน่อย คือ ส่วนฟังกับอ่าน เพราะเป็นคนที่ฟังชาวบ้านพูดไม่รู้เรื่อง ก่อนสอบไม่กี่วันถึงมาฝึกพูดโดยการจับเวลา แต่เรื่องเขียน บอกตรงๆว่าไม่ได้ดูไปเลยสักนิด ไม่ใช่ว่าหย่ามใจ แต่มันเป็นการฝึกที่เสียเวลามากสำหรับเรา และเราไม่สามารถให้คะแนนตัวเองได้ ก็เลยข้ามๆไปไม่ได้ฝึก แค่ดูว่าต้องเขียนกี่บทความ แค่นั้นเอง
สมัครสอบยังไง?
ง่ายมาก แค่ต้องมีบัตรเครดิต เข้าไปที่ www.ets.org แล้วลงทะเบียนกับทางเว็บ กรอกข้อมูลทุกอย่างให้เรียบร้อย เลือกวันเวลาและสถานที่สอบ ตรวจเช็คข้อมูลต่างๆให้ดี เพื่อกันความผิดพลาดในภายหลัง แล้วกรอกข้อมูลบัตรเครดิต ตัดได้เลย ง่ายฝุด
เลือกสถานที่ที่สอบยังไง?
ตอนแรกเราไม่ได้สนใจเลยนะว่า เออ ที่สอบจะมีผลกับเราขนาดนั้นเลยหรอ เพราะคิดว่าสอบที่ไหนๆก็คงเหมือนกัน ปรากฏว่าจริงๆแล้ว "ที่สอบมีผลมากนะ" เพราะเป็นการสอบแบบ Internet Based ฉะนั้นระบบมันควรจะดี อุปกรณ์ควรจะพร้อม เพราะความผิดพลาดเล็กๆน้อยๆเหล่านั้น มีผลกับคะแนนของเราทั้งหมด บางคนไมค์ที่ใช้พูดไม่ดัง ทำๆอยู่อินเตอร์เน็ตล่ม ฯลฯ เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ ก่อให้เกิดความไม่สบายใจกับเราทั้งสิ้น อย่าคาดหวังว่าศูนย์สอบทุกที่จะมีความพร้อมเหมือนกันหมด เราอ่านรีวิวต่างๆเยอะมาก แต่ด้วยเรื่องวันสอบที่จำกัดประกอบกับเพื่อความสะดวกในการเดินทาง เราเลยเลือกๆไปก่อน เน้นเดินทางสะดวก
วันสอบ
เราไปถึงประมาณ 8.20 น. พอมีเวลาทำโน่นนี่ แต่ปรากฏว่า สนามสอบคืนก่อนหน้านั้นฝนตก (?) ทำให้สัญญาณเน็ตวันต่อมาไม่เสถียร ตอนแรกก็คิดๆละ ลางไม่ค่อยดีเลยแฮะ ... สรุปแล้ววันนั้น ไม่ได้สอบเลย นั่งรอสัญญาณเน็ตถึงสิบเอ็ดโมง โคตรโมโห 55555 กลายเป็นว่าต้องมาสอบใหม่ สยองมาก มันทำให้รอบต่อมาเราระแวงสุดๆว่า เอ๊ะ แล้วเราจะได้สอบมั้ยวะ แล้วทำๆอยู่มันล่มแบบกู่ไม่กลับจะทำยังไง และบลาๆๆๆๆ คือถ้าเป็นในกรณีที่มีปัญหาแบบนี้ ทางโน้นยืนยันให้เรากลับบ้านได้ เค้าจะ reschedule ตารางใหม่มาให้เราเอง และเราสามารถเปลี่ยนเองได้อีก 1 ครั้ง แบบไม่เสียเงิน เผื่อว่าวันที่เค้านัดใหม่เราไม่ว่าง (ซึ่งเราก็ไม่ว่าง แต่ชีวิตทางเลือกไม่เยอะแงะะะ) เราก็ไม่ได้เปลี่ยนนะ สรุปก็ไปสอบหลังจากนั้นอีกสองอาทิตย์ สอบที่เดิม เซ็งสุด 5555
วันสอบ (จริง)
โชคดี วันสอบอีกรอบราบรื่น มาถึงก็ลงทะเบียนก่อนเหมือนเดิม ถ่ายรูป รอเรียกขึ้นห้อง พอนั่งประจำที่ คีย์ข้อมูลนิดหน่อย ล็อคอิน เทสต์เสียงไมค์และหูฟัง ซึ่งตอนแรกไมค์เราไม่ดัง คิดในใจ กูอีกแล้ว ทำไมกูถึงประสบความล้มเหลวด้านเทคโนโลยีขนาดนี้ สุดท้ายเวลาพูดต้องจับไมค์จ่อที่ปากตลอดเวลา พูดกับคอมว่าไม่เป็นธรรมชาติแล้ว มานั่งจับไมค์จ่อปากตลอด ยิ่งไม่เป็นธรรมชาติยิ่งกว่า อนาถตัวเอง
เวลาสอบเค้ามีทุกอย่างให้ ไม่ต้องเตรียมอะไรไปเลย ยกเว้นเสื้อหนาว 555 ในกรณีเป็นคนขี้หนาวแบบเรานะ การสอบของเราจะแบ่งเป็นอ่านกับฟังก่อน (ประมาณสองชั่วโมง) แล้วเบรคสิบนาที ค่อยมาทำพูดกับเขียนต่อ (อีกประมาณสองชั่วโมง) ควรเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยนะ เพราะเมื่อกดล็อคอินทำข้อสอบปุ๊บเวลาทางมุมขวาบนจะเริ่มเดินถอยหลังทันที ถ้าเราจำไม่ผิดในพาร์ทอ่านของเรามี 3 พาร์ท ไม่ยากมาก ถามเกี่ยวกับข้อมูลทั่วไป หาเจอได้ใน text เป็นบทความเชิงวิชาการหน่อย ก็เป็นเรื่องรอบตัว เช่น สิ่งแวดล้อม ดาราศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เวลาสอบมันจะมีให้เราย้อนกลับไปดู text ได้ ถ้าเราอยากรีวิวหรือแก้ไขคำตอบข้อไหนภายใน text เดียวกัน ก็สามารถทำได้ แต่ถ้าเราเปลี่ยนไปอ่าน text ถัดมาแล้ว จะกลับไปแก้ไขคำตอบอะไรใน text ก่อนหน้านี้ไม่ได้อีก
พาร์ทฟัง เราจำไม่ได้ว่าเราฟังไปเท่าไหร่ แต่บอกเลยว่า ฟังจนเพลียมากกกกกกกกก คือ ทำไปจนคิดว่านี่ยังไม่จบอีกหรอ กุจะหลับแล้วนะ ฟังได้แค่ครั้งเดียว ต้องจดเอา แล้วค่อยมาตอบคำถาม ซึ่งสำหรับเรา คิดว่าบางทีก็ถามรายละเอียดยิบย่อยมาก (คือ กุมิได้จดมาาา) เป็นรายละเอียดที่เราไม่ได้สนใจ แต่เค้าก็ดันถาม พาร์ทนี้ก็ไม่พ้นบทสนทนาระหว่างอาจารย์กับนักเรียน การอภิปรายต่างๆในห้องเรียน การเลคเชอร์ของอาจารย์ โดยหัวข้อก็เป็นหัวข้อวิชาการคล้ายๆพาร์ทอ่านเลย แต่มันอาจจะเป็นรายละเอียดที่ซอยลึกลงไปในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หัวข้อหัวข้อหนึ่งไปเลย ซึ่งสำหรับเรา เราว่าพอฟังออกและทำความเข้าใจได้ แต่มันไม่ถ่องแท้ เพราะนึกภาพตามไม่ออกจริงๆ ถ้าไม่ได้มีความรู้เรื่องนั้นมา
พอทำพาร์ทนี้จบ นาฬิกาจะเริ่มจับเวลาเบรคเราสิบนาที พอครบสิบนาที ผู้คุมสอบก็จะมาคีย์พาสเวิร์ดให้เรากลับไปทำพาร์ทพูดกับเขียน
พาร์ทพูดคือ เกือบลืมจับไมค์ให้ดีๆ ตื่นเต้นมาก ไม่เป็นธรรมชาติเลย คือ พอเราเห็นหรือฟังโจทย์ปุ๊บ ก็จะมีเวลาให้เราคิด (ไม่ถึงนาที จับเวลาด้วย) พอหมดเวลาคิดก็จะให้เราพูดโดยจับเวลาอีก (แล้วแต่ว่าไม่เกิน 45 วิ หรือ 60 วิ) คือ มันไม่เป็นธรรมชาติจริงๆนะ แต่ก็ต้องถูไถพูดไปจนจบ ก่อนเราจะพูดตอบคำถาม ก็อาจจะมีให้เราอ่านเท็กซ์ก่อน อ่านจบแล้วค่อยฟังต่อ แล้วเค้าก็จะมีคำถามที่เชื่อมโยงระหว่างเท็กซ์กับสิ่งที่เราฟังไป มีให้ฟังแล้วสรุปว่าสิ่งที่ได้ฟังคืออะไร บวกกับแสดงความเห็นนิดหน่อย (ถ้าเป็นเราจะทำยังไง อะไรประมาณนี้) หรืออาจจะเป็นการถามคำถามทั่วไป ให้เราตอบตามความคิด ทำนองนี้
พาร์ทเขียน มีสองข้อใหญ่ๆ เลย คือ ให้อ่านบทความ ฟังเลคเชอร์ แล้วเขียนสรุป (หรืออะไรแล้วแต่ ตามที่โจทย์ต้องการ) อีกพาร์ทคือเขียนเรียงความแนวเห็นด้วยไม่เห็นด้วย เสนอแนวคิดเรา ความคิดเรา ยกเหตุผลมาซัพพอร์ต ประมาณนี้
สิ่งที่เราชอบสุดคือ การเขียน เพราะมันถนัดมือมาก ลบแล้วเขียนใหม่ได้ ไม่ต้องกลัวกระดาษเละเทะ นอกนั้นสอบอ่านกับพูด เราว่ามันแปลกๆอยู่เหมือนกัน เวลาสอบกับคอมเนี่ย
คะแนน
ตอนสมัคร เค้าถามเลยว่าจะให้เราส่งคะแนนไปให้ที่ไหนบ้าง ถ้าเราจะให้คะแนนส่งตรงไปที่มหาวิทยาลัย เราต้องแจ้งไปเลยตั้งแต่ตอนนั้น จำไม่ได้ว่าส่งฟรีได้กี่ที่ ไม่งั้นต้องเสียเงินส่งไปทีหลัง (มหาวิทยาลัยต่างประเทศหลายที่รับตัวจริงอย่างเดียว ไม่รับก้อปปี้ เค้าจะรับเฉพาะคะแนนที่ส่งมาจากศูนย์สอบเท่านั้น) เราเลือกส่งให้ตัวเองอย่างเดียวนะ เพราะคิดว่าที่ไทยไม่น่าจะต้องขนาดนั้น เค้าจะมีตารางบอกว่าสอบวันนี้ คะแนนจะโพสต์ลงเว็บเมื่อไหร่ พอคะแนนโพสต์แล้วก็จะส่งเมลมาแจ้งด้วย แต่ใบคะแนนตัวจริงต้องรอเป็นเดือน จนบัดนี้เราก็ยังไม่ได้ 55555
ถามว่าพอใจคะแนนมั้ย ก็โอเค ไม่ได้แย่ แต่ก็แอบอยากได้มากกว่านี้อีกสักนิด
Overall ของเราคือ 96
Reading: 26 (High)
Listening: 23 (High)
Speaking: 26 (Good)
Writing: 21 (Fair)
อ้างอิงดูการแปลงผลคะแนนได้จากเว็บไซต์ของโทเฟลตรงนี้ http://www.ets.org/toefl/ibt/scores/understand/
แต่เราคิดว่าสกิลของเราก็มีเท่านี้ล่ะนะ ใจจริงอยากได้ Writing มากกว่านี้หน่อย เพราะเราคิดว่าเราน่าจะทำได้ดีกว่านี้ อันนี้ออกจากห้องสอบมารู้ตัวแหละ ว่าเขียนได้ไม่โอเคเลย ที่เซอร์ไพรส์คือ พูด ไม่คิดว่าจะได้เยอะขนาดนั้น เพราะเราว่าเราพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง เหมือนวกไปวนมามากกว่า แถมคะแนนแบบข้อย่อย เราได้คะแนนเยอะในส่วนที่ไม่มั่นใจมากๆ ก็เลยงงว่า คือ ยังไง เค้าต้องการคำตอบงงๆแบบนั้นหรอ 5555
เอาเป็นว่าการสอบก็จบลง ตอนนี้เหลือแค่ใบคะแนนอย่างเดียว
เอาจริง ไม่ค่อยอยากได้รูปโทรมๆที่ถ่ายแปะไปบนใบผลสอบสักเท่าไหร่เลยนะ 55555
viernes, 18 de julio de 2014
sábado, 21 de junio de 2014
มหากาพย์แดนกระทิง :: บิลเบาวันที่หนึ่ง (The Very First Day in Bilbao, Spain)
เราเชื่อว่าคงมีคนไม่น้อย ที่ได้ออกเดินทางไปเห็นโลกกว้างแล้ว อยากจะกลับมาบันทึกเรื่องราวเหล่านั้นเก็บไว้เป็นความทรงจำดีๆ และแบ่งปันให้ชาวโลกได้อ่านเรื่องราวของตัวเองบ้าง
เราเองก็คิดแบบนั้นนะ และคิดอยากทำมานานมากแล้วตั้งแต่เริ่มเดินทางใหม่ๆ วันนี้นึกครึ้มอกครึ้มใจ เลยตัดสินใจหยิบเรื่อง "มหากาพย์แดนกระทิง" ของเรามาลงบล็อค ตั้งใจว่ายังไงก็จะเขียนให้ครบทุกเมืองที่รองเท้าเน่าๆของเราได้เหยียบย่างไปถึง เพราะสเปนเป็นประเทศที่เราประทับใจมากประเทศหนึ่ง เป็นประเทศที่เราได้เที่ยวตามแบบที่เราชอบจริงๆ ได้วางแผนเอง ได้ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง เลยคิดว่าการมาแบ่งปันให้ใครได้อ่าน อาจจะช่วยจุดประกายให้คนๆนั้นได้ออกเดินทางไปตามเส้นทางที่ได้วางแผนไว้ตั้งแต่ชาติปางก่อนบ้างก็เป็นได้
โอเค ไม่อารัมภบทนาน
ตัดฉากไปบนรถทัวร์ที่มุ่งหน้าออกจากกรุงมาดริดค่ะ...
![]() |
ออกนอกเมือง |
เมืองแรกที่เราจะมุ่งหน้าไปชื่อเมืองบิลเบา (Bilbao) ตั้งอยู่ในแคว้น País Vasco หรือแคว้นบาสก์ หลายคนรู้จักกันดีเพราะเป็นแคว้นที่มีข่าวอยากแยกตัวออกมาตั้งประเทศเองใจจะขาดอีกแคว้น นอกเหนือไปจากแคว้นกาตาลุนญ่า ที่ตั้งเมืองบาร์เซโลนา
บิลเบาสำหรับเราเหมือนสาวชิคๆคนนึงที่หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีของตัวเอง ก็จะไม่ให้หยิ่งได้ยังไง ในเมื่อแคว้นบาสก์เป็นหนึ่งในแคว้นที่ร่ำรวยและทำเงินเข้าประเทศได้มากที่สุด มีภาษาใช้ของตัวเอง อีกทั้งภาษานั้นยังเป็นภาษาที่ไม่ได้มีรากเดียวกับภาษาสเปนด้วย ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนนี้ทำให้คนบาสก์ไม่รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับสเปนเอาเสียเลย
รถทัวร์จากมาดริดไปบิลเบาใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง เราออกเดินทางกันตั้งแต่เก้าโมงเช้า ถึงบิลเบากันตอนบ่าย พร้อมเช็คอินเข้าที่พักได้พอดิบพอดี (แต่ชีวิตจริงของพวกเราไม่ได้รวดเร็วง่ายดายขนาดนั้น)
ตลอดการเดินทางเราใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการหลับ คณะเดินทางของเรามีกันห้าคน และเราดันอาสาไปนั่งกับใครที่ไหนก็ไม่รู้ ทันทีที่ขึ้นรถก็เลยได้แค่หลับปุ๋ยไปตามสภาพ ลืมตาขึ้นมาก็เห็นแค่แผ่นดินเรียบๆแบนๆ มีเนินเล็กน้อย มีทุ่งหญ้าสีทอง สีเขียว สีน้ำตาล สลับกันไปมาเหมือนภาพตัดแปะที่เด็กอนุบาลฝึกทำในชั่วโมงศิลปะ เราชอบนะ เราชอบความสะเปะสะปะของภูมิทัศน์นอกเมืองใหญ่ในสเปน มันดูแห้งแล้ง เวิ้งว้าง แต่ก็ดูมีศิลปะอยู่ในที
รถทัวร์ของเราจอดแวะพักหลายจุดอยู่เหมือนกัน พวกเราก็เดินขึ้นๆลงๆ กะแค่ลงไปเหยียดแข้งเหยียดขาเป็นพอ และหลังจากที่งีบหลับไปหลายรอบ พวกเราก็มาถึงจุดหมาย...
แวบแรกที่เห็นบิลเบา รู้สึกเหมือนเมืองนี้เป็นเมืองที่ซุกซ่อนอยู่ในหุบเขา ทั้งที่จริงๆแล้วมันไม่ได้ลึกลับซับซ้อนอะไรขนาดนั้น เพราะตัวเมืองก็ใหญ่พอตัว เห็นภูเขาอยู่ไกลลิบ ไม่ใช่เมืองเล็กๆกระจุ๋มกระจิ๋มตั้งอยู่บนเขาแบบเมืองยุโรปสวยๆเขาเป็นกัน แต่เราก็รู้สึกถึง "ความเป็นส่วนตัว" ที่บิลเบาพรีเซ้นท์ตัวเองให้เราเห็นตั้งแต่ลืมตานะ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ตัวเมืองบิลเบามีแม่น้ำ Nervión ตัดผ่าน ฟากหนึ่งของแม่น้ำคือย่านใจกลางเมือง เป็นที่ตั้งของร้านรวง พิพิธภัณฑ์ ร้านอาหาร และสถานทางราชการที่สำคัญต่างๆหลายแห่ง ส่วนอีกฟากของแม่น้ำ คือ Casco Viejo หรือ ย่านเมืองเก่าของบิลเบา
เมื่อลงมาจากรถ อย่างแรกที่พวกเราทำคือ ซื้อตั๋วเตรียมไปเมืองอัสตูเรียสต่อ โดยซื้อกันจากตู้ขายตั๋วอัตโนมัติที่สถานีรถบัส เลือกที่นั่งกันได้เลยเรียบร้อย เมื่อซื้อตั๋วเสร็จ พวกเราค่อยเดินลงมาขึ้นรถไฟใต้ดิน เพื่อเดินทางไปยังที่พัก
รถไฟใต้ดินของบิลเบาสะอาดใช้ได้ ชานชาลาโปร่ง โล่ง สว่าง เพดานสูง ชวนให้คิดถึงถ้ำที่ได้รับการปรับปรุงให้กลายเป็นห้องทดลองวิทยาศาสตร์เหมือนที่หนัง Sci-Fi หรือหนัง Superhero เขามีกัน
รถไฟใต้ดินบิลเบาโล่ง (อาจเป็นเพราะไม่ใช่เวลาเร่งด่วน แถมยังเป็นช่วงวันหยุดยาวอีสเตอร์ด้วย) คนบางตา ไม่จอแจ ให้ความรู้สึกเหมือนนั่ง MRT ที่ไทยกลับบ้านตอนห้าทุ่ม จากสถานีรถบัสใช้เวลาเดินทางไม่นานเราก็ถึงสถานี Deusto อันเป็นที่หมาย เราขึ้นจากใต้ดินมาจ๊ะเอ๋กับแดดยามเที่ยงที่ขยันส่งคลื่นความร้อนลงมายังเปลือกโลกและปล่อยพลังแสงอย่างเต็มที่ ราวกับรู้ว่าวันต่อๆมาจะไม่มีโอกาสได้ออกมาเริงร่าเต็มที่อีกแล้ว
พวกเรากางแผนที่ มองซ้ายมองขวา ความหิวที่โจมตีกระเพราะและความเหน็ดเหนื่อยจากการนั่งรถทำให้เรารู้สึกว่าทางเดินต่อไปที่พักช่างห่างไกลเสียเหลือเกิน เราเดิน เดิน เดิน เดินจนขาลากก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าโฮสเทลของเราจะแอบอยู่ตามมุมตึกที่ไหน ขณะที่กำลังรู้สึกว่าหลงทาง เราก็แทบไม่ต้องหาตัวช่วยที่ไหนไกล คุณลุงคนหนึ่งที่เดินอยู่แถวนั้นเห็นท่าทีเก้ๆกังๆของเราทั้งห้า ก็ขันอาสามาช่วยเราดูทางอย่างกระตือรือร้น
พวกเราทั้งห้ามาถึงที่พักอย่างปลอดภัย รู้สึกปลื้มใจในความเป็นมิตรของคนเมืองนี้กันตั้งแต่เริ่มทริป ที่พักของพวกเราในคืนนี้ คือโฮสเทลที่มีชื่อว่า 'Bilbao Akelarre Hostel' เป็นโฮสเทลขนาดไม่ใหญ่มาก กำแพงด้านนอกทาสีเทาทึมๆ มีลายเป็นรูปแมวตัวใหญ่สีดำ รูปแม่มด นกฮูก ฯลฯ แซมด้วยสีแดงเล็กๆ พอให้ดูสดใส มองเผินๆเหมือนจะกลมกลืนไปกับกำแพงที่โดนพ่นสีของตึกแถวนั้น ภายในโฮสเทลตกแต่งด้วยโทนสีดำ แดง ขาว เป็นหลัก มีเคาท์เตอร์เล็กๆของ reception มีครัวเล็กๆ มีโซฟานั่งเล่นพร้อมทีวี มีมุมเก็บแผนที่-ไกด์บุคให้นักท่องเที่ยวได้อ่าน สำหรับคนที่ต้องการใช้คอมพิวเตอร์ที่นี่ก็มีให้ใช้ แต่สำหรับเรามีไอโฟนเครื่องเดียวกับ Wifi เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
ห้องพักของเราจริงๆแล้วเป็นห้องแบบพักได้ 8 คน แต่เนื่องจากพนักงานใจดีมาก จึงอัพเกรดห้องให้เราเป็นห้องสำหรับ 6 คนแทน และเนื่องจากพวกเรามีกันตั้ง 5 คน จึงเสมือนว่ายึดห้องนั้นเป็นของตัวเองไปเลย วะฮะฮะฮ่ะ
ห้องพักเป็นเตียงสองชั้นสามเตียง ไม่ใหญ่นัก พอพักได้สบายๆ พวกเรารื้อสมบัติกันอย่างวุ่นวายเกลื่อนห้อง ลืมไปเสียสนิทว่าอาจจะมีคนที่เดินทางคนเดียวมาเข้าพักห้องนี้อีกคนก็ได้ เพราะห้องเรายังมีเตียงว่างอยู่หนึ่งเตียง แต่ก็โชคดีไปว่าไม่มีใครมาพักเพิ่มในห้องของเรา เตียงนั้นจึงกลายเป็นที่วางของและราวตากผ้าไปโดยปริยาย ...
ห้องน้ำของโฮสเทล เป็นห้องน้ำแบบรวม ส่วนตัวเราไม่มีปัญหา ปกติก็ไม่ค่อยอาบน้ำอยู่แล้ว (หะ?) และตอนไปอาร์เจนตินา เคยพักห้องรวม อาบน้ำห้องรวมเหมือนกัน ชีวิตสมบุกสมบันกว่านี้อีก (อาบน้ำรวมหมายถึงต้องใช้ห้องน้ำร่วมกับคนอื่นนะ ไม่ใช่ใส่กระโจมอก หิ้วขันพร้อมแปรงสีฟัน ไปอาบรวมกับชาวบ้านแบบนั้น)
หลังจากสำรวจห้องพักและนั่งกันจนหายเมื่อยแล้ว พวกเราก็เตรียมตัวออกเดินทางสำรวจเมืองกันต่อ เจ้าหน้าที่ของโฮสเทลกางแผนที่พร้อมอธิบายสถานที่ต่างๆที่เราควรไปเยี่ยมชมอย่างคร่าวๆ พวกเราถามร้านอาหารอร่อยๆเผื่อเอาไว้มื้อเย็นด้วย กะว่าวันนี้บิลเบาคงจะคึกคักต้อนรับพวกเราเป็นแน่ แต่เจ้าหน้าที่แอบเตือนเราไว้ก่อนแล้วว่า เมืองจะเงียบเหงากว่าปกติ เพราะช่วงนี้ยังเป็นช่วงหยุดอีสเตอร์
ถึงได้ยินแบบนั้นก็ไม่หวั่นค่าาา พวกเราแพลนกันคร่าวๆว่าวันนี้จะเดินรอบๆเมืองก่อน พรุ่งนี้ค่อยไปเที่ยวไฮไลท์ของเมืองซึ่งก็คือ พิพิธภัณฑ์กุกเกนไฮม์ (Giggenheim) พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยที่มีความโดดเด่นเป็นตัวตึกทรงประหลาด ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ภายนอกอาคารสะท้อนกับแดดวิบวับ ดูสวยแบบประหลาดๆ แต่ก็ถือว่าไม่ได้ขัดหูขัดตาแต่อย่างใด อาจเพราะบริเวณนั้นไม่ได้มีอาคารเก่าๆมากมายนัก สไตล์ล้ำสมัยของอาคารกุกเกนไฮม์จึงดูกลมกลืนไปกับทิวทัศน์บริเวณนั้นเป็นอย่างดี
เราเดินข้ามแม่น้ำมา ไม่ได้มีเป้าหมายชัดเจนกันแต่อย่างใดว่าจะไปที่ไหน ก็ได้แต่ถ่ายรูปข้างทางไปเรื่อย สุดท้ายไปหยุดโพสท่าถ่ายกันจนสะใจกลางจตุรัส (Plaza) ใหญ่กลางเมือง ชื่อว่า Federico Moyúa ดอกไม้ที่ปลูกไว้รอบๆจตุรัสเริ่มจะบานสวย มีหรือเราจะรีบผ่านจุดนี้ไปง่ายๆ (ไม่ใช่อะไร คือ เดินและโพสท่ากันมาจนเมื่อยแล้วด้วย ฮ่าๆ ขอพักแป๊บ)
ตอนนั้นเป็นช่วงเย็นพอสมควรแล้ว แดดไม่แรงมาก อากาศดี ผู้คนจึงออกมาเดินเล่นกันขวักไขว่ จตุรัสอยู่ท่ามกลางตึกสูงมากมาย จึงทำให้ไม่โดดแดดมากนัก เท่าที่พวกเรานั่งสังเกตกัน เมืองนี้ดูจะมีผู้สูงอายุอยู่มากพอสมควร แต่ละคนแต่งตัวดูดี ดูภูมิฐานมากจนพอเดาได้ว่าคนส่วนใหญ่ในเมืองนี้เป็นคนมีฐานะ
ส่วนตัวเราแล้วเพิ่งจะมายุโรปเป็นครั้งแรก เลยไม่สามารถเปรียบเทียบได้ว่าบิลเบาเหมือนหรือแตกต่างจากยุโรปเมืองอื่นๆอย่างไร เรารู้แค่ว่าบิลเบาต่างจากเมืองอื่นๆในสเปนมากทีเดียว (อันที่จริงแคว้นแต่ละแแห่งของสเปนมีความโดดเด่นไม่เหมือนกันเลย นี่เป็นอีกจุดนึงที่ทำให้เราประทับใจสเปนมาก)
แม้ดอกไม้ที่จตุรัสจะเริ่มมีสีสันให้เราได้เห็นแล้ว แต่ต้นไม้รอบๆเมืองส่วนใหญ่ยังไม่ผลิใบเลย ต้นไม้ดูแห้งเหี่ยวและโดดเดี่ยวเหมือนอยู่ในฤดูหนาวไม่มีผิด แต่สารภาพตามตรงว่าเราชอบต้นไม้อารมณ์เหงาๆมากกว่านะ ต้นไม้แบบนั้นทำให้บิลเบาดูเป็นเมืองคลาสสิค
พวกเราเดินผ่านศาลาว่าการของเมือง เดินผ่านตึกรามบ้านช่อง ชีวิตดูไร้จุดหมายกันมาก แม้จะพอมีร้านเครื่องสำอางเปิดให้พวกเรากรี๊ดกร๊าดอยู่เป็นระยะ แต่พวกเราก็พยายามจะข่มใจทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวผู้มีสาระ มองหาจุดหมายอื่นนอกเหนือการช้อปปิ้งต่อไป จนสุดท้ายเราตัดสินใจเดินไปหา Pintxo (ปินโช่) กินกันในย่านเมืองเก่าดีกว่า
พูดถึงอาหารขึ้นชื่อของแคว้นบาสก์ ทุกคนต้องห้ามพลาดชิม Pintxo (เหมือนพวกเรา T_T) เจ้า Pintxo ที่ว่านี้มีอยู่ตามบาร์ เป็นขนมปังสไลซ์เป็นแผ่น ส่วนใหญ่โปะหน้าด้วยปลา ไข่เจียวสเปน พริกยัดไส้ และอื่นๆเท่าที่แต่ละร้านจะสรรหาวิธีสร้างสรรค์เมนูขึ้นมาได้ แล้วเสียบยึดด้วยไม้จิ้มฟัน เวลากินจะได้สะดวก
อย่างที่บอกไปแล้วว่าพวกเราตั้งใจจะไปชิม Pintxo กันในย่านเมืองเก่า พอเริ่มมีจุดหมาย ขาก็เริ่มก้าวออก (โดยเฉพาะจุดหมายที่เป็นอาหาร) แต่เดินกันวนรอบ Casco Viejo แล้ว ก็ยังไม่เห็นร้านขาย Pintxo สักร้าน ตัวเมืองเงียบเหงามากเหมือนเมืองร้าง มีบาร์เปิดอยู่บ้างประปรายตามซอกตึกมืดๆ แต่พวกเราไม่กล้าแวะ แค่เดินผ่านก็กลัวแล้วว่าจะโดนปล้นไหม เพราะแม้จะเป็นเมืองคนรวยอย่างบิลเบา แต่ก็ยังถือว่าเป็นสเปน ประเทศที่โจรขโมยมีเทคนิคในการขโมยแพรวพราวที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง
หลังจากสิ้นหวังกับเขตเมืองเก่า พวกเราตัดสินใจเดินเลียบแม่น้ำดีกว่า คิดไปเองว่าคงจะมีร้านอาหารดีๆเปิดอยู่บ้าง เราเดินกันจนมืดค่ำ หน้าชา ท้องร้อง สุดท้ายพระอาทิตย์ก็โบกมือลาโลก จนแล้วจนรอดก็ยังไม่เจอร้าน Pintxo สุดท้ายก็เลยตัดสินใจกันว่า เอาเถอะ กินอะไรก็ได้แล้วล่ะ ณ จุดนี้ แค่เดินลมยังจะพัดปลิว พอดีเหลือบกันไปเห็นร้านเคเอฟซี มีคนในกลุ่มเสนอว่า งั้นแวะกินเคเอฟซีเลยดีไหม
... ทุกคนเงียบ ...
ความคิดของเราที่ไม่ได้ถ่ายทอดออกมาเป็นเสียงคือ "ทำไมเราต้องมากินไก่ผู้พันไกลถึงบิลเบาด้วย หะ..."
เราเดินกลับไปยังฝั่งโฮสเทล เดินวนหลงทางกัน (อีกแล้ว) จนมีคนเข้ามาช่วยเหลือและแนะนำให้เราไปกินร้านไก่ย่างแถวๆนั้น สุดท้ายเราหนีจากไก่ทอดเคเอฟซีมากินไก่ย่างเมืองบิลเบาแทน
บรรยากาศร้านชวนให้เรานึกถึงร้านสไตล์ไก่ย่างเขาสวนกวาง ไก่ย่างนิตยา อะไรแบบนั้น ควันในร้านโขมงโฉงเฉง กลิ่นหอมของไก่ลอยมาเตะจมูก พนักงานเดินกันฉับๆ คอยจัดโต๊ะ เก็บโต๊ะ ส่วนโต๊ะที่ว่าชวนให้เรานึกถึงโต๊ะร้านก๋วยเตี๋ยวแถวปากซอย ต่างกันตรงที่ ร้านนี้ปูกระดาษมาให้เรา เผื่อทิ้งกระดูกไก่ เศษอาหารอะไรได้เลยเสร็จสรรพ พนักงานขยำทิ้งรอบเดียว
พวกเรานั่งโต๊ะ และเดินไปสั่งอาหาร ... เนื่องจากเวลาผ่านมาสองปีแล้ว เราจึงจำไม่ได้จริงๆว่าเราสั่งอะไรมากินบ้าง รู้แต่ได้ชิมไก่ของร้านนี้และค้นพบว่ามันเป็นไก่ที่อร่อยมากกกกกกกก (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่า ความอร่อยแปรผันไปตามระดับความหิว)
หนังไก่กรอบแบบที่เราชอบ แต่เนื้อข้างในชุ่มฉ่ำ ไม่แห้ง ไม่แข็ง
กินอิ่มพุงกาง ก็ค่อยๆเดินกลับโฮสเทลอย่างสบายใจ ระหว่างทางแวะซื้อผลไม้กันในร้านค้าด้วย
กลับถึงที่พัก พวกเราเหนื่อยกันมาก
ตัวเราเองสลบไปเลยทั้งที่ยังไม่ได้อาบน้ำ ล้างหน้าล้างตา
วันแรกในบิลเบาของเราจบลงแบบเหนื่อยอ่อน
แต่นี่แค่เริ่มต้น .... หนทางในสเปนของเรายังอีกไกล (มาก จนบางทีก็อดคิดไม่ได้ว่าไกลไปไหม -- แต่ก็นั่นล่ะ ถึงได้เป็นที่มาของมหากาพย์แดนกระทิง)
![]() |
ภาพถ่ายจากกลาง Plaza |
![]() |
รถเมล์เมืองนี้ชื่อน่ารักเชียว ชื่อ "บิลโบบุส" :) |
ตอนนั้นเป็นช่วงเย็นพอสมควรแล้ว แดดไม่แรงมาก อากาศดี ผู้คนจึงออกมาเดินเล่นกันขวักไขว่ จตุรัสอยู่ท่ามกลางตึกสูงมากมาย จึงทำให้ไม่โดดแดดมากนัก เท่าที่พวกเรานั่งสังเกตกัน เมืองนี้ดูจะมีผู้สูงอายุอยู่มากพอสมควร แต่ละคนแต่งตัวดูดี ดูภูมิฐานมากจนพอเดาได้ว่าคนส่วนใหญ่ในเมืองนี้เป็นคนมีฐานะ
ส่วนตัวเราแล้วเพิ่งจะมายุโรปเป็นครั้งแรก เลยไม่สามารถเปรียบเทียบได้ว่าบิลเบาเหมือนหรือแตกต่างจากยุโรปเมืองอื่นๆอย่างไร เรารู้แค่ว่าบิลเบาต่างจากเมืองอื่นๆในสเปนมากทีเดียว (อันที่จริงแคว้นแต่ละแแห่งของสเปนมีความโดดเด่นไม่เหมือนกันเลย นี่เป็นอีกจุดนึงที่ทำให้เราประทับใจสเปนมาก)
แม้ดอกไม้ที่จตุรัสจะเริ่มมีสีสันให้เราได้เห็นแล้ว แต่ต้นไม้รอบๆเมืองส่วนใหญ่ยังไม่ผลิใบเลย ต้นไม้ดูแห้งเหี่ยวและโดดเดี่ยวเหมือนอยู่ในฤดูหนาวไม่มีผิด แต่สารภาพตามตรงว่าเราชอบต้นไม้อารมณ์เหงาๆมากกว่านะ ต้นไม้แบบนั้นทำให้บิลเบาดูเป็นเมืองคลาสสิค
![]() |
บิลเบากับต้นไม้ที่ยังไม่ผลิใบ |
พูดถึงอาหารขึ้นชื่อของแคว้นบาสก์ ทุกคนต้องห้ามพลาดชิม Pintxo (เหมือนพวกเรา T_T) เจ้า Pintxo ที่ว่านี้มีอยู่ตามบาร์ เป็นขนมปังสไลซ์เป็นแผ่น ส่วนใหญ่โปะหน้าด้วยปลา ไข่เจียวสเปน พริกยัดไส้ และอื่นๆเท่าที่แต่ละร้านจะสรรหาวิธีสร้างสรรค์เมนูขึ้นมาได้ แล้วเสียบยึดด้วยไม้จิ้มฟัน เวลากินจะได้สะดวก
อย่างที่บอกไปแล้วว่าพวกเราตั้งใจจะไปชิม Pintxo กันในย่านเมืองเก่า พอเริ่มมีจุดหมาย ขาก็เริ่มก้าวออก (โดยเฉพาะจุดหมายที่เป็นอาหาร) แต่เดินกันวนรอบ Casco Viejo แล้ว ก็ยังไม่เห็นร้านขาย Pintxo สักร้าน ตัวเมืองเงียบเหงามากเหมือนเมืองร้าง มีบาร์เปิดอยู่บ้างประปรายตามซอกตึกมืดๆ แต่พวกเราไม่กล้าแวะ แค่เดินผ่านก็กลัวแล้วว่าจะโดนปล้นไหม เพราะแม้จะเป็นเมืองคนรวยอย่างบิลเบา แต่ก็ยังถือว่าเป็นสเปน ประเทศที่โจรขโมยมีเทคนิคในการขโมยแพรวพราวที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง
![]() |
Casco Viejo ที่เงียบเหงา |
หลังจากสิ้นหวังกับเขตเมืองเก่า พวกเราตัดสินใจเดินเลียบแม่น้ำดีกว่า คิดไปเองว่าคงจะมีร้านอาหารดีๆเปิดอยู่บ้าง เราเดินกันจนมืดค่ำ หน้าชา ท้องร้อง สุดท้ายพระอาทิตย์ก็โบกมือลาโลก จนแล้วจนรอดก็ยังไม่เจอร้าน Pintxo สุดท้ายก็เลยตัดสินใจกันว่า เอาเถอะ กินอะไรก็ได้แล้วล่ะ ณ จุดนี้ แค่เดินลมยังจะพัดปลิว พอดีเหลือบกันไปเห็นร้านเคเอฟซี มีคนในกลุ่มเสนอว่า งั้นแวะกินเคเอฟซีเลยดีไหม
... ทุกคนเงียบ ...
ความคิดของเราที่ไม่ได้ถ่ายทอดออกมาเป็นเสียงคือ "ทำไมเราต้องมากินไก่ผู้พันไกลถึงบิลเบาด้วย หะ..."
เราเดินกลับไปยังฝั่งโฮสเทล เดินวนหลงทางกัน (อีกแล้ว) จนมีคนเข้ามาช่วยเหลือและแนะนำให้เราไปกินร้านไก่ย่างแถวๆนั้น สุดท้ายเราหนีจากไก่ทอดเคเอฟซีมากินไก่ย่างเมืองบิลเบาแทน
บรรยากาศร้านชวนให้เรานึกถึงร้านสไตล์ไก่ย่างเขาสวนกวาง ไก่ย่างนิตยา อะไรแบบนั้น ควันในร้านโขมงโฉงเฉง กลิ่นหอมของไก่ลอยมาเตะจมูก พนักงานเดินกันฉับๆ คอยจัดโต๊ะ เก็บโต๊ะ ส่วนโต๊ะที่ว่าชวนให้เรานึกถึงโต๊ะร้านก๋วยเตี๋ยวแถวปากซอย ต่างกันตรงที่ ร้านนี้ปูกระดาษมาให้เรา เผื่อทิ้งกระดูกไก่ เศษอาหารอะไรได้เลยเสร็จสรรพ พนักงานขยำทิ้งรอบเดียว
พวกเรานั่งโต๊ะ และเดินไปสั่งอาหาร ... เนื่องจากเวลาผ่านมาสองปีแล้ว เราจึงจำไม่ได้จริงๆว่าเราสั่งอะไรมากินบ้าง รู้แต่ได้ชิมไก่ของร้านนี้และค้นพบว่ามันเป็นไก่ที่อร่อยมากกกกกกกก (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่า ความอร่อยแปรผันไปตามระดับความหิว)
หนังไก่กรอบแบบที่เราชอบ แต่เนื้อข้างในชุ่มฉ่ำ ไม่แห้ง ไม่แข็ง
กินอิ่มพุงกาง ก็ค่อยๆเดินกลับโฮสเทลอย่างสบายใจ ระหว่างทางแวะซื้อผลไม้กันในร้านค้าด้วย
กลับถึงที่พัก พวกเราเหนื่อยกันมาก
ตัวเราเองสลบไปเลยทั้งที่ยังไม่ได้อาบน้ำ ล้างหน้าล้างตา
วันแรกในบิลเบาของเราจบลงแบบเหนื่อยอ่อน
แต่นี่แค่เริ่มต้น .... หนทางในสเปนของเรายังอีกไกล (มาก จนบางทีก็อดคิดไม่ได้ว่าไกลไปไหม -- แต่ก็นั่นล่ะ ถึงได้เป็นที่มาของมหากาพย์แดนกระทิง)
lunes, 26 de mayo de 2014
It's my first time reading ''New York 1st Time''
อ้าว... นี่ไม่ได้เขียนบล็อกมาเกือบหกเดือนแล้วหรือนี่....
กลับมาวันนี้ตอนแรกตั้งใจว่า เอาวะ วันนี้ล่ะ จะเขียนเรื่องไปเที่ยวลงบล็อกอย่างจริงจังให้ได้
พักนี้หนักๆหัว เพราะอ่าน En Llamas มากไป เครียดค่ะ (En Llamas คือ ฉบับแปลภาษาสเปนของ Catching Fire นอกจากเนื้อหาจะชวนเครียดแล้ว ภาษาสเปนง่อยๆของเรายังเป็นอุปสรรคในการอ่านด้วย)
ด้วยเหตุนี้เลยคิดโฉบตัวไปตามแผงหนังสือสักหน่อย เห็นหนังสือ New York 1st Time ก็สะดุดตาละ ยิ่งไล่ลงไปตามชั้นหนังสือท่องเที่ยวเรื่อยๆ ข้าพเจ้าแทบสิ้นสติ ไม่นะ!เล่มนั้นเขียนไปสเปน ไม่นะ!เล่มนี้เขียนไปอาร์เจนตินา นั่นเปรู นั่นญี่ปุ่น นั่นยุโรป ... นั่น... นั่น! ความริษยานี่พวยพุ่งออกจากตาเลยจริงๆ โลกนี้ชาวบ้านเค้าเที่ยวกันจนพรุนแล้วสินะ เขียนหนังสือเล่าทุกซอกมุมกันหมดแล้วสินะ ชั้นหนังสือพวกนี้จะมีที่ให้ชื่อเราปรากฏบ้างไหม (วะ) ความรู้สึกเหงาหงอยเพราะปีนี้ยังไม่ได้ไปเที่ยวเลยกับความรู้สึกแค้นใจที่ตัวเองเขียนอะไรไม่จบสักอย่าง ทำให้เรามี love-hate relationship กับชั้นหนังสือท่องเที่ยวในร้านหนังสือทุกร้านมาก กลับมาก็ฮึกเหิมทุกครั้งว่า วันนี้จะเขียน วันนี้จะเขียน ... แต่เขียนอยู่วันเดียวเท่านั้นล่ะ เพราะแรงบันดาลใจที่ของดิฉันต่ำมากค่ะ (สงสัยต้องไปที่ชั้นหนังสือพวกนี้ทุกวัน -.-)
วันนี้ก่อนจะผละจากชั้นหนังสือด้วยความแค้นใจเหมือนเคย เราตัดสินใจหยิบ New York 1st Time ติดมาด้วย คลิปในยูทู้ปของเค้าเราก็ดูนะ ตลกมาก รู้จักหนังสือเล่มนี้ก็จากคลิปนั้น หมายตาไว้เหมือนกันว่าจะซื้อ แต่ก็รู้อยู่ว่าซื้อแล้วจะเป็นยังไง เลยลังเลอยู่เรื่อยๆ ก่อนหน้านี้เลยแบก En Llmas เล่มเท่าดิกชั่นนารีขึ้น MRT อยู่ทุกวัน แทนหนังสือเล่มกระทัดรัดที่เล่าประสบการณ์ฮาๆแบบนี้
สรุปว่าซื้อ หิ้วกลับมาบ้าน นอนอ่าน แล้วก็อ่านรวดเดียวจบ
สไตล์การเขียนของคุณเบ๊นทำให้เราพลิกหน้าอ่านได้อย่างสนุกจนลืมเวลา (ว่ากรุต้องสอบโทเฟลและสเปนในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างนะคะ ไม่ควรเอาเวลามาอ่านอย่างอื่น อ๊าาาาา)
หนังสือเล่มนี้ไม่ได้เล่าชีวิตสวยหรู ที่อ่านแล้วต้องอิจฉา
ไม่ใช่ไกด์บุ๊คที่ช่วยให้คุณเอาชีวิตรอดในนิวยอร์คได้แบบชิลล์ๆ
หนังสือเล่มนี้แค่เล่าประสบการณ์"ครั้งแรก"ของคนๆหนึ่งที่ไปใช้ชีวิตอยู่ในนิวยอร์ค
แต่ "ครั้งแรก" ที่ว่านั้น เราว่าเป็นจุดขายที่ดีมากๆที่ทำให้หนังสือเล่มนี้กลายเป็นหนังสือขายดี ถึงขั้นว่าพิมพ์มาแล้วห้าครั้ง ภายในระยะเวลาแค่สองเดือน
คุณเบ๊นไม่ได้เล่าเรื่องเรียบๆว่าไปนิวยอร์คนะ เจอนั่นเจอนี่ แต่เขาเลือกประสบการณ์"ครั้งแรก"มาเล่า
แล้วด้วยความที่เป็นครั้งแรกไง ประสบการณ์จึงแฝงไปด้วยความตลกแบบที่ถ้าเราเจอกับตัว ณ วินาทีนั้นเราจะขำไม่ออก
ไม่รู้สิ มันเหมือนกับเราก็ได้ตามเขาไปนิวยอร์คด้วย และก็ได้ตามตัวเองกลับไปในอดีตที่มีโอกาสได้ทำอะไร "ครั้งแรก" ในประเทศที่ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองเหมือนกัน ยิ่งเราเป็นคนกลัวทำผิดพลาด ครั้งแรกของเราจึงเป็นอะไรที่สำคัญมาก เพราะถ้าพลาด บางทีจะเฟลและขยาดไปเลย
เราอ่านเรื่องนี้ไป ขำไป ยิ้มไป น้ำตาซึมนิดหน่อยก็มี
ชอบที่เค้าให้ความสำคัญกับเรื่องเล็กๆน้อยๆ และถ่ายทอดมันออกมาได้ดี
เป็นเรื่องทั่วๆไปในชีวิตประจำวันที่พวกเราก็เจอ แต่บางครั้งเรามองข้าม
คือ ไม่ต้องไปนิวยอร์คก็มี First Time ได้นึกออกมั้ย
เพียงแค่เราลองทำอะไรที่นอกเหนือไปจาก routine ปกติ แค่นี้ทุกอย่างก็จะกลายเป็น First Time แม้แต่การลองขึ้นรถเมล์สายใหม่ๆ
หลายครั้ง first time เป็นจุดเริ่มต้นของ many times
แต่หลายครั้ง first time ก็เป็น synonym ของ last time
แต่ไม่ว่าสิ่งที่ตามมานั้นจะเป็น many times หรือ last time
ถ้าเราไม่มี first time สิ่งที่ตามมาก็คงจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยสินะ ...
เฮ้อ...
เพ้อ
นอนค่ะ ตีหนึ่งค่ะ พรุ่งนี้ทำงาน!
แม้การไปสายจะแปรสภาพจาก first time เป็น many times แล้วก็เถอะ
T___T
กลับมาวันนี้ตอนแรกตั้งใจว่า เอาวะ วันนี้ล่ะ จะเขียนเรื่องไปเที่ยวลงบล็อกอย่างจริงจังให้ได้
พักนี้หนักๆหัว เพราะอ่าน En Llamas มากไป เครียดค่ะ (En Llamas คือ ฉบับแปลภาษาสเปนของ Catching Fire นอกจากเนื้อหาจะชวนเครียดแล้ว ภาษาสเปนง่อยๆของเรายังเป็นอุปสรรคในการอ่านด้วย)
ด้วยเหตุนี้เลยคิดโฉบตัวไปตามแผงหนังสือสักหน่อย เห็นหนังสือ New York 1st Time ก็สะดุดตาละ ยิ่งไล่ลงไปตามชั้นหนังสือท่องเที่ยวเรื่อยๆ ข้าพเจ้าแทบสิ้นสติ ไม่นะ!เล่มนั้นเขียนไปสเปน ไม่นะ!เล่มนี้เขียนไปอาร์เจนตินา นั่นเปรู นั่นญี่ปุ่น นั่นยุโรป ... นั่น... นั่น! ความริษยานี่พวยพุ่งออกจากตาเลยจริงๆ โลกนี้ชาวบ้านเค้าเที่ยวกันจนพรุนแล้วสินะ เขียนหนังสือเล่าทุกซอกมุมกันหมดแล้วสินะ ชั้นหนังสือพวกนี้จะมีที่ให้ชื่อเราปรากฏบ้างไหม (วะ) ความรู้สึกเหงาหงอยเพราะปีนี้ยังไม่ได้ไปเที่ยวเลยกับความรู้สึกแค้นใจที่ตัวเองเขียนอะไรไม่จบสักอย่าง ทำให้เรามี love-hate relationship กับชั้นหนังสือท่องเที่ยวในร้านหนังสือทุกร้านมาก กลับมาก็ฮึกเหิมทุกครั้งว่า วันนี้จะเขียน วันนี้จะเขียน ... แต่เขียนอยู่วันเดียวเท่านั้นล่ะ เพราะแรงบันดาลใจที่ของดิฉันต่ำมากค่ะ (สงสัยต้องไปที่ชั้นหนังสือพวกนี้ทุกวัน -.-)
วันนี้ก่อนจะผละจากชั้นหนังสือด้วยความแค้นใจเหมือนเคย เราตัดสินใจหยิบ New York 1st Time ติดมาด้วย คลิปในยูทู้ปของเค้าเราก็ดูนะ ตลกมาก รู้จักหนังสือเล่มนี้ก็จากคลิปนั้น หมายตาไว้เหมือนกันว่าจะซื้อ แต่ก็รู้อยู่ว่าซื้อแล้วจะเป็นยังไง เลยลังเลอยู่เรื่อยๆ ก่อนหน้านี้เลยแบก En Llmas เล่มเท่าดิกชั่นนารีขึ้น MRT อยู่ทุกวัน แทนหนังสือเล่มกระทัดรัดที่เล่าประสบการณ์ฮาๆแบบนี้
หน้าปก New York 1st Time |
สรุปว่าซื้อ หิ้วกลับมาบ้าน นอนอ่าน แล้วก็อ่านรวดเดียวจบ
สไตล์การเขียนของคุณเบ๊นทำให้เราพลิกหน้าอ่านได้อย่างสนุกจนลืมเวลา (ว่ากรุต้องสอบโทเฟลและสเปนในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างนะคะ ไม่ควรเอาเวลามาอ่านอย่างอื่น อ๊าาาาา)
หนังสือเล่มนี้ไม่ได้เล่าชีวิตสวยหรู ที่อ่านแล้วต้องอิจฉา
ไม่ใช่ไกด์บุ๊คที่ช่วยให้คุณเอาชีวิตรอดในนิวยอร์คได้แบบชิลล์ๆ
หนังสือเล่มนี้แค่เล่าประสบการณ์"ครั้งแรก"ของคนๆหนึ่งที่ไปใช้ชีวิตอยู่ในนิวยอร์ค
แต่ "ครั้งแรก" ที่ว่านั้น เราว่าเป็นจุดขายที่ดีมากๆที่ทำให้หนังสือเล่มนี้กลายเป็นหนังสือขายดี ถึงขั้นว่าพิมพ์มาแล้วห้าครั้ง ภายในระยะเวลาแค่สองเดือน
คุณเบ๊นไม่ได้เล่าเรื่องเรียบๆว่าไปนิวยอร์คนะ เจอนั่นเจอนี่ แต่เขาเลือกประสบการณ์"ครั้งแรก"มาเล่า
แล้วด้วยความที่เป็นครั้งแรกไง ประสบการณ์จึงแฝงไปด้วยความตลกแบบที่ถ้าเราเจอกับตัว ณ วินาทีนั้นเราจะขำไม่ออก
ไม่รู้สิ มันเหมือนกับเราก็ได้ตามเขาไปนิวยอร์คด้วย และก็ได้ตามตัวเองกลับไปในอดีตที่มีโอกาสได้ทำอะไร "ครั้งแรก" ในประเทศที่ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองเหมือนกัน ยิ่งเราเป็นคนกลัวทำผิดพลาด ครั้งแรกของเราจึงเป็นอะไรที่สำคัญมาก เพราะถ้าพลาด บางทีจะเฟลและขยาดไปเลย
เราอ่านเรื่องนี้ไป ขำไป ยิ้มไป น้ำตาซึมนิดหน่อยก็มี
ชอบที่เค้าให้ความสำคัญกับเรื่องเล็กๆน้อยๆ และถ่ายทอดมันออกมาได้ดี
เป็นเรื่องทั่วๆไปในชีวิตประจำวันที่พวกเราก็เจอ แต่บางครั้งเรามองข้าม
คือ ไม่ต้องไปนิวยอร์คก็มี First Time ได้นึกออกมั้ย
เพียงแค่เราลองทำอะไรที่นอกเหนือไปจาก routine ปกติ แค่นี้ทุกอย่างก็จะกลายเป็น First Time แม้แต่การลองขึ้นรถเมล์สายใหม่ๆ
หลายครั้ง first time เป็นจุดเริ่มต้นของ many times
แต่หลายครั้ง first time ก็เป็น synonym ของ last time
แต่ไม่ว่าสิ่งที่ตามมานั้นจะเป็น many times หรือ last time
ถ้าเราไม่มี first time สิ่งที่ตามมาก็คงจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยสินะ ...
เฮ้อ...
เพ้อ
นอนค่ะ ตีหนึ่งค่ะ พรุ่งนี้ทำงาน!
แม้การไปสายจะแปรสภาพจาก first time เป็น many times แล้วก็เถอะ
T___T
miércoles, 4 de diciembre de 2013
❤BOOKTALK❤ Divergent-Insurgent-Allegiant {Thai}
ใครเป็นใครใน Divergent Insurgent Allegiant
ขอกรี๊ดสักครู่.....
...............................................
.................................................
คือ ดิฉันใช้เวลาครึ่งคืน (เที่ยงคืนถึงประมาณตีสี่) ในการอัดวิดีโอเพื่อรีวิวซีรี่ส์ชุดนี้
แล้วเป็นไง โปรแกรมวิดีโออันเฮงซวยและไม่รักดี ทำให้วิดีโอต้องกระตุก หลังจากตัดต่อมาร่วมสัปดาห์
เพราะงั้นเลย บายนะ
เขียนดีกว่า ความคิดจะได้เป็นสัดเป็นส่วนด้วย
โอเค นอกเรื่องพอแล้ว เริ่มเกริ่นเข้าเรื่องค่ะ 55555
สำหรับประเทศไทยซีรี่ส์เรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องใหม่ เพิ่งจะมีฉบับแปลออกมาเอง เราเพิ่งเห็นวันนี้
(ขอแอบติงการแปลชื่อเรื่องเบาๆว่าไม่น่าแปลเป็น "มายาเร้นโลก" เลย เพราะหนังสือชุดนี้ไม่มีมายาอะไรทั้งสิ้น เป็นแนววิทยาศาสตร์ เครียดและไม่ชวนฝันเลยสักนิดเดียว --คือเรามองว่า การใช้คำว่า "มายา" ทำให้เรานึกถึงอะไรเร้นลับอย่าง Harry Potter, Twilight, Beautiful Creatures อะไรทำนองนี้มากกว่า ซึ่ง Divergent มันคนละโลกเลย ฮือๆ)
และจะมีภาพยนตร์เข้าฉายประมาณมีนาคมปีหน้า (2014) ด้วย ส่วนตัวเราแล้ว พอใจกับ การคัดเลือกนักแสดงมาก แม้จะทุกคนจะดูแก่กว่าในหนังสือก็ตาม (พระเอกแซ่บและบึ้กดี อาาาาาา~)
จริงๆแล้ว Divergent ดังอยู่นานพอสมควรแล้ว ตามติด Hunger Games เลยทีเดียว เรียกได้ว่าเป็นหนังสือรุ่นน้อง ออกตามๆกันมาในยุคที่ Dystopian Books กลับมาตีตลาดต่างประเทศ (โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา)
ก่อนที่เราจะเข้าเรื่อง (อะไรนี่คือยังไม่เข้าอีกหรอ 555) เราบอกอะไรสักเล็กน้อยก่อน
เพราะเราตั้งใจเขียนให้ค่อนข้างละเอียด ในรีวิวจึงมีทั้งจุดที่สปอยล์และไม่สปอยล์ ตรงไหนสปอยล์เราจะเขียนตัวใหญ่ๆๆๆๆๆๆ เอาไว้ให้ จะได้ข้ามไปอ่านในส่วนอื่นนะ :)
ถ้าพร้อมแล้วก็... ตีตั๋วไป Chicago กันเต๊อะ!!!
สังคมของไดเวอร์เจนท์
SPOILER FREE: ไม่มีสปอยล์
ประเด็นแรกขอพูดถึงเรื่องสังคมของไดเวอร์เจนท์ก่อนเลย การสร้างสังคมในหนังสือประเภท Dystopian นั้น เรามองว่าเป็นจุดสำคัญมาก เพราะจะเป็นตัวชี้วัดเลยว่า เรื่องจะออกไปในทิศทางไหน
แล้วนอกจากเรื่องการถูกควบคุมโดยรัฐบาลแล้ว สังคมนี้ต่างจากสังคมในเรื่องอื่นๆอย่างไร?
ตามในหนังสือเล่มหนึ่ง สังคมของไดเวอร์เจนท์เป็นสังคมในโลกอนาคต ยามที่สงครามสงบแล้ว ฉากของเรื่องคือเมืองชิคาโก้ ทุกคนใช้ชีวิตปกติเหมือนสังคมเรา เพียงแต่มีอุปกรณ์ที่ไฮเทคกว่า
สังคมของไดเวอร์เจนท์จะถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มหรือ factions โดยแต่ละ faction นั้นจะยึดคุณธรรมที่ต่างกันไป มี manifestos เอาไว้ยึดถือ ทุกคนปฏิบัติตามคุณธรรมนั้นอย่างสุดโต่ง และรับผิดชอบหน้าที่ต่างๆตามที่ factions ของตัวเองได้กำหนดไว้ factions เหล่านั้นคือ
1. Abnegation: คนกลุ่มนี้ เน้นเรื่องการเสียสละ ไม่ยึดติดอยู่กับตัวเอง ทุกคนเงียบขรึม แต่งชุดสีเทา ไม่ชอบมองกระจก (การมองกระจกถือเป็นการหลงตัวเอง) ทำงานเพื่อช่วยเหลือสังคม นึกถึงผู้อื่นและส่วนร่วมเป็นหลัก
2. Dauntless: คนกลุ่มนี้เป็นผู้กล้า แต่ไม่ใช่ผู้กล้าแบบกริฟฟินดอร์นะ เป็นผู้กล้าแบบออกแนวโหดๆ ทำหน้าที่คล้ายๆทหาร ชอบใช้กำลัง ทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะความกลัวทั้งทาง physical และ mental
3. Erudite: กลุ่มคนฉลาดและกระหายความรู้ คนส่วนใหญ่เป็นนักวิทยาศาสตร์คอยพัฒนาโน่นนี่นั่นเพื่อสังคมโดยรวม
4. Amity: กลุ่มคนรักสันติ ไม่ชอบการต่อสู้ ไม่ชอบต่อล้อต่อเถียง อยู่ได้ด้วยตัวเอง มีอาชีพเป็นเกษตรกร แต่บางครั้งกลุ่มนี้ก็ลุกขึ้นสู้ เพราะยึดแนวคิดที่ว่า บางทีการจะได้ความสงบสุขมาก็ต้องสู้ก่อน
5. Candor: กลุ่มคนยึดถือสัจจะ เป็นกลุ่มคนที่ไม่มีความลับ ซื่อตรง เชื่อถือได้ ยึดมั่นแต่ความจริง โปร่งใส
แล้วทำไมต้องเป็นห้ากลุ่มนี้?
ว่ากันว่า ทั้งห้ากลุ่มสร้างขึ้นมาจาก flaws ของมนุษย์ กล่าวคือ การรบราฆ่าฟันกันในอดีต เกิดขึ้นมาก็เพราะมนุษย์นั้นเห็นแก่ตัว, ขี้ขลาด, ไม่ประสีประสา, ก้าวร้าวรุนแรงและไม่ซื่อสัตย์ สังคมจึงแบ่งออกเป็นห้ากลุ่มเพื่อชดเชยข้อบกพร่องของมนุษย์ทั้งห้าอย่างนั้น
หลักการที่น่าสนใจ (สำหรับเรา) ซึ่งเกี่ยวข้องกับสังคมนี้ก็คือ
จริงๆแล้ว คนในสังคมนี้มีสิทธิ์เลือกกลุ่มของตัวเองเมื่อถึงเวลา ตรงนี้จะต่างกับ The Hunger Games หรือ Delirium หรือแม้แต่ The Giver ที่ทุกอย่างทางรัฐบาลจะจัดการ
สิ่งที่รัฐบาลในสังคมไดเวอร์เจนท์จะจัดการให้คุณก็คือ ช่วยจัดการทดสอบเพื่อดูว่าคุณมีแนวโน้มควรไปอยู่กลุ่มไหน และถึงแม้ผลของคุณจะบอกว่าอย่างไร คุณก็มีสิทธิ์เลือกว่าจะเชื่อผลการทดสอบหรือไม่ก็ได้ ในวัน Choosing Ceremony ทุกคนจะกรีดเลือดลงในอ่างที่มีสัญลักษณ์ของแต่ละ factions และจากนั้นเป็นต้นไป ทุกคนก็ต้องยึดถือคำกล่าวที่ว่า "Faction before blood" ถ้าคุณคิดจะออกจากครอบครัวและ faction เดิมของคุณก็ได้ แต่ there's no going back.
สังเกตได้ว่าสังคมนี้ ให้สิทธิ์คนในสังคมเลือก ได้ (แม้จะเป็นการเลือกจากช้อยส์ที่มีโคตรจำกัดก็ตาม)
แต่ถึงกระนั้น คุณก็ต้องไปผ่านกระบวนการคัดกรองก่อนอยู่ดี กลุ่มที่มีคนตกผลการทดสอบมากที่สุดก็คือ Dauntless เพราะการคัดคนของที่นั่นโหดมาก ตายเป็นตาย
เออ แล้ว Divergent ชื่อเรื่องมันมาจากไหนคืออะไร?
คนที่เป็น Divergent ถือเป็นบุคคลอันตราย "เพราะ" เอาจริงๆแล้ว การจัดคนให้เป็นกลุ่มแบบนี้ สั่งสอนให้เค้าเชื่อตามกันแบบนี้ ทำให้คนถูกควบคุมได้ง่ายมาก ทุกคนกลายเป็นคนที่อ่านง่าย เช่น เจอคนจาก Dauntless ก็จะรู้ว่าเขาเชื่อหรือให้ความสำคัญกับ virtue ข้อไหนมากที่สุด แต่คนที่เป็น Divergent คือ คนที่ไปทดสอบแล้ว ผลการทดสอบไม่สามารถสรุปได้ คือ เป็นคนที่มีคุณสมบัติหลายอย่างอยู่ในตัว และคนเหล่านั้น ในเล่มแรก ก็จะถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษ เพราะไม่สามารถถูกบังคับได้ (ทั้งร่างกายและจิตใจต่อต้าน)
แนวคิดที่ได้จากการอ่านทั้งสามเล่ม
SPOILER RATE: MEDIUM มีการสปอยล์ปานกลาง
ในส่วนนี้เราจะสรุปไอเดียที่เราได้จากการอ่านทั้งสามเล่ม
โดยจะเขียนเป็นเล่มๆไป ใครไม่อยากให้ไอเดียเราทำลายจินตนาการ สามารถข้ามตรงนี้ไปได้เลย ขณะเดียวกัน ถ้าอยากอ่านไอเดียของเราแค่บางเล่มก็ย่อมทำได้ :) เราเชื่อว่ามีไอเดียอีกล้านแปดพันอย่าง ที่สามารถดึงออกมาได้จากหนังสือทั้งสามเล่มนี้ เรายินดีจะอ่านความเห็นของคนอื่น เช่นเดียวกับที่เราชอบอ่านเปเปอร์คนอื่นและฟังการตีความจากมุมมองอื่นๆในวิชาวรรณคดีที่เราเคยเรียนมา
ปล. เราไม่ได้วิจารณ์ในเชิงวิชาการ ฉะนั้นจะไม่มีการอ้างอิงหลักการหรือทฤษฎีใดๆอย่างจริงจังทั้งสิ้น
ก่อนจะเจาะเข้าไปพูดเป็นเล่ม ขอบอกก่อนเลยว่าไอเดียหลักที่เราได้จากการอ่านซีรี่ส์นี้คือเรื่อง Identity โดยเน้น การค้นหาตัวตน, การพยายามเปลี่ยนแปลงตัวตน, การถูกนิยามความเป็นตัวตนโดยผู้อื่น และการนิยามตนเอง ซึ่งเราว่าเมื่อเอามารวมกับวิธีการนำเสนอ ถือเป็นไอเดียที่น่าสนใจทีเดียวสำหรับผู้อ่านระดับ Young Adults (แม้ในเรื่องจะโหดเลือดสาดมาก 555) เรื่องจากไดเวอร์เจนท์, อินเซอร์เจนท์ และอลีเจนท์ จะพัฒนาสเกลความใหญ่ไปเรื่อยๆ จากเรื่องเล็กๆ ไปเรื่องใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น เหมือนศึกษาเรื่องโลกมนุษย์, ระบบสุริยะ แล้วค่อยศึกษาจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาล
ดังนั้นในการพูดถึงแต่ละเล่มเราก็จะเจาะสองประเด็นนี้ควบคู่กันไป คือ เรื่อง Identity และการพัฒนาสเกลของปมปัญหาหลักในเรื่อง
DIVERGENT:
finding your identities
เล่มแรก เรามองว่า เรื่องจะมุ่งเน้นให้เราเห็นถึงการนิยามตนเอง การพยายามตามหา faction ที่เรา belong to ส่วนคนที่เป็นไดเวอร์เจนท์ ถ้าไม่อยากถูกเก็บ ก็ต้องเลือกสัก faction แล้วทำตัวกลมกลืน เราจะได้เห็นว่านางเอกเลือกอะไรและจะผ่านการคัดเลือกเพื่ออยู่ใน faction นั้นๆได้อย่างไร
ต่อจากนี้มีสปอยล์สำหรับคนยังไม่ได้อ่านเล่มแรก
..........................
..............
.....
.
ให้โอกาสเลื่อนไปอ่านที่อื่น เร้ว!
factions vs. factions
ทำไมเราขึ้นว่า factions vs. factions
ก็เพราะในตอนท้ายของเรื่อง การห้ำหั่นกันระหว่างกลุ่มก็เกิดขึ้น อันนี้ถือเป็นสเกลเล็กๆในสังคม
ทั้ง Erudite และ Dauntless รวมหัวกันบุก Abnegation
จุดเปลี่ยนคือ ทำให้ faction system พังไป 40% เหลือที่ยังอยู่กันจริงๆคือ Erudite, Amity และ Candor
จริงๆเรื่องเริ่มจาก Jeanine ที่คิดจะเป็นใหญ่ คิดกำจัดพวก Divergent
ในตอนจบเล่มหนึ่ง เราก็คิดแค่นี้จริงๆ แต่ก็จินตนาการภาพไม่ออกว่าจะไปยังไงต่อ เล่มสองจะเป็นยังไง
เล่มนี้จบได้เศร้าสุดอะไรสุด :( เราว่าเศร้ากว่าเล่มสาม เป็นเล่มเดียวที่ทำให้เราร้องไห้
สรุป เล่มแรกทำให้เราได้เห็นไอเดียของการตามหา Identity ของตัวเองและความขัดแย้งระหว่าง factions ที่ยังโยงไปไหนได้ไม่มากเท่าไหร่
หมดส่วนสปอยล์เล่มหนึ่ง
INSURGENT
those who want to be defined
เล่มสอง เบื้องหลังการหลบหนี การวางแผนโค่นล้มรัฐบาล Jeanine และการถูกตามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไดเวอร์เจนท์ของรัฐบาล 55 เรื่องจะเน้นให้เราเห็นกลุ่มคนอีกพวกนึง คือ พวก factionless หรือคนไร้สังกัด 55 ก็เหมือน homeless นั่นแล เราไม่สามารถ define คนกลุ่มนี้ได้ (ตามหลักการของสังคมไดเวอร์เจนท์) ว่าเป็นคนกล้าหาญ, เสียสละ, ฉลาด, รักสงบ หรือ ซื่อสัตย์ เพราะแม่งสอบตกการคัดเลือกจาก faction กันเกือบหมด (บางคนก็จำต้องออกมาจาก faction เพราะเหตุจำเป็นบางอย่าง หรือ ออกมาโดยสมัครใจก็มี) คนพวกนี้จะมี กลุ่ม Abnegation คอยดูแล ให้ข้าว ให้น้ำ ให้เสื้อผ้า ประเด็นคือ เราจะเห็นเลยว่า คนกลุ่มเนี้ย ที่คนอื่นคิดว่าไร้สมรรถภาพ ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอเป็นส่วนหนึ่งของสังคม จริงๆแล้วไม่ได้ powerless นะ เราจะได้รู้จักคนกลุ่มนี้ขึ้นมาอีกเยอะและความน่ากลัวของพวกนี้ด้วย เพราะสุดท้ายแล้ว....
ต่อจากนี้มีสปอยล์เล็กน้อยสำหรับคนยังไม่ได้อ่านเล่มสอง
..........................
..............
.....
.
ให้โอกาสเลื่อนไปอ่านที่อื่น เร้ว!
factionless vs. factions
... กลุ่ม factionless มีประชากรเยอะซะจนน่าตกใจ
หลังจาก factions ฟาดฟันกันไปแล้ว คราวนี้เป็นเรื่องของ factionless vs. factions บ้าง
สเกลความขัดแย้งใหญ่ขึ้น จากแค่การสู้กันเองของคนในสังคม เป็นการสู้กันระหว่างคนในสังคมและคนที่ถูกกีดกันจากสังคมหรือคนนอกสังคม แม้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้ Tris และ Tobias จะเข้าข้าง factionless แต่ conflict มันมากกว่านั้น เพราะแผนการที่แท้จริงของ the factionless คือ ล้มล้างระบอบ faction นี้
เราไม่คิดว่าคนที่เติบโตมาใน faction ทั้งชีวิตและไม่เคยสัมผัสชีวิตแบบ factionless จะเห็นด้วยอย่างเต็มใจหรอก
คือ มันออกแนว เรามีศัตรูคนเดียวกัน ฉะนั้นเราจึงร่วมมือกัน เราคิดว่าเป้าหมายของทั้งคู่ไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกับพวก factionless แต่มีทางเลือกกันไม่มากนัก
สรุป เล่มสอง เป็นเรื่องการพยายามจะ define ตัวเองของพวก factionless คือ ไม่เลือกหรอกว่าจะอยู่ faction ไหน แต่จะนิยามตัวเองขึ้นมา โดยการทำลาย faction system ซะ แค่นั้นเอง เรื่องหลักๆเน้นไปที่การพยายามตามล่าไดเวอร์เจนท์, การพยายามค้นความลับที่รัฐเก็บไว้ แต่เราเห็นว่าประเด็นเล็กๆน้อยๆของ พวก the factionless ตรงกับประเด็นเรื่อง identity ที่เราอยากพูดถึง และพวกนี้ก็เป็นกลุ่มคนตัวอย่างที่รอเวลาอย่างเงียบๆ เพื่อวันหนึ่งจะได้ประกาศตัวออกมาได้ดังๆว่า "กูเป็นใคร"
หมดส่วนสปอยล์เล่มสอง
ALLEGIANT
Being defined by others
เล่มสามประเด็นเรื่อง Identity จะเห็นได้ชัดในบทสนทนาของ Tris กับ Tobias (ไม่ต้องกลัว ไม่สปอยล์ตรงนี้ 555) จะเห็นได้ชัดเลยว่า การที่เราถูกคนอื่นหรืออย่างอื่นกำหนดว่า "เราเป็นอย่างไร" มีผลกับคนหลายคนมากในวงกว้าง ทำให้เกิดชนชั้นในสังคมได้ เล่มนี้เป็นเรื่องการตามหาความจริง เราเชื่อว่าหลายคนคงคิดว่า Truth will set us free แต่จริงๆ เล่มนี้จะแสดงให้เห็นเลยว่า Truth is a trap คนบางคนในเรื่อง ไม่สามารถฟรีตัวเองออกมาได้ เพราะเจอความจริงแล้ว กลายเป็นว่าความจริงมาควบคุมชีวิตของคนๆนั้นไปเลย แทนที่จะได้ค้นหาตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง กลายเป็นว่าต้องมาติดกับดักชนชั้นนี้เข้าอีกจนได้ (หนีไม่พ้นและเถียงอะไรไม่ได้) นอกจากนี้ในสังคมไดเวอร์เจนท์ยังกำลังจะถูก defined ใหม่ โดย "คนอื่น" ด้วย ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องที่เราคิดว่าชี้ประเด็นการถูกยัดเยียดตัวตนจากคนอื่นได้ดี อารมณ์ว่า "คุณค่าของคนเรา สามารถกำหนดได้โดยคนอื่นจริงๆน่ะหรอ" สำหรับเราในเรื่องแสดงให้เห็นเลยว่า ทั้ง "เป็นไปได้" และ "เป็นไปไม่ได้" (ถ้าเคยอ่านแล้วน่าจะเข้าใจที่เราพูดนะ 555)
ต่อจากนี้มีสปอยล์เล็กสำหรับคนยังไม่ได้อ่านเล่มสาม
..........................
..............
.....
.
ให้โอกาสเลื่อนไปอ่านที่อื่น เร้ว!
pure genes vs. damaged genes
สเกลความขัดแย้งใหญ่ขึ้นมากแล้ว จากแค่กลุ่มคนในสังคมสู่กัน จากคนนอกสังคมกับในสังคมสู้กัน กลายเป็นว่าเล่มนี้ไม่ได้นำเสนอเรื่องการสู้กันทางไอเดียหรือความเชื่ออีกต่อไป แต่สู้กันด้วยเรื่อง genes เอิ่มมมม... จะสู้กันยังไง ไม่ใช่เรื่องที่จะเปลี่ยนกันได้ คือ เอาจริงๆมันเป็นเรื่องที่กำหนดมา ว่าเออเป็นไดเวอร์เจนท์คือ ยีนส์บริสุทธิ์์ ถ้ายีนส์ไม่ตรงตามนี้นะ ไม่ใช่ divergent คุณถือว่าเป็นแค่ damaged gene ซึ่งคนมียีนส์ที่ถูกทำลายก็แค้นมั้ย 555 มึงเป็นใคร มาหาว่ากุ damaged? อิโทเบียสนี่เห็นได้ชัดมากกกกก เป็นตอนที่เราอยากจะตบกะโหลกมันมากที่สุด 555 เป็นเดือดเป็นร้อนกับเรื่องนี้มาก จนสุดท้ายพาทุกคนซวยไปด้วยจนได้
สรุปนะ เล่มสาม เป็นเรื่องการถูกนิยาม,ยัดเยียดตัวตนโดยคนอื่น เช่น การถูกกำหนดโดยยีนส์ ซึ่งอันนี้ทาง Bureau ก็กำหนดมาอีกที โดยยึดตามประวัติศาสตร์ที่ฆ่ากันมา และเช่นตอน Bureau จะรีเซ็ทความทรงจำคนในสังคม คือ เห้ย จะทำเหมือนหนูทดลองใช่ไหม หรือเล่นเกมแล้วแพ้ รีเซ็ทเกมใหม่ -*- ในเคสของโทเบียสเราเห็นด้วยกับทริสที่มองว่า การถูกยัดเยียดตัวตน (ว่าเป็น damaged gene) โดยคนอื่นไม่ได้ทำให้โทเบียสเปลี่ยนไปสักหน่อย โทเบียสก็คือโทเบียสอยู่วันยังค่ำ (ตรงนี้น่าจะตอบคำถามข้างบนได้ว่า เป็นไปไม่ได้ที่คนอื่นจะมากำหนดให้เราเป็นแล้วเราต้องเป็น เค้าบอกเราไม่เพียว เราก็จะไม่เพียวอย่างเขาบอกหรือ?) ส่วนเคสการจะรีเซ็ทความทรงจำของสังคม เราคิดว่าน่าจะตอบคำถามข้างบนได้ว่า เออ ถ้าคิดจะทำจริงโดยใช้เทคโนโลยีและวิวัฒนาการก็สามารถจะลบความทรงจำของคนในสังคม ลบตัวตนของเขา เพื่อสร้างตัวตนใดๆที่ทาง Bureau ต้องการ ก็ย่อมได้ ดังนี้ในเคสนี้คือ บางทีตัวตนของเราก็ถูกกำหนดโดยคนอื่นได้
หมดส่วนสปอยล์เล่มสาม
การนำเสนอเรื่องราว
SPOILER FREE ไม่มีสปอยล์
มาถึงประเด็นเรื่องการนำเสนอเรื่องราว
เล่มแรกและเล่มสอง จะเล่าผ่านมุมมองของ Tris นางเอก เป็นหลัก ซึ่งเราก็ชอบ แม้จะรำคาญนางเอกเล็กๆช่วงแรกและช่วงสวีทกับพระเอก 5555
แต่ในเล่มสามจะเล่าผ่านมุมมอง Tris กับ Tobias ซึ่ง เราว่ามันน่ารำคาญมาก เพราะโทเบียสเป็นคนที่มีความคิดไม่น่าอภิรมย์เอาเสียเลย คือ เราเข้าใจเบื้องลึกเบื้องหลังในชีวิตฮี แต่คือ ฮีไม่คิดถึงอะไรอย่างอื่นนอกจากตัวเองเลย เอาจริงๆ ชอบตอนทริสด่าให้ในบทที่ยี่สิบห้าหน้าสุดท้ายมากกกก (เล่มสาม) ตรงสุด 5555 สะใจ คือเราพรีเฟอโทเบียสในมุมมองของทริสมากกว่า ดูเป็นพระเอกกว่าเยอะ ส่วนทริสในมุมมองโทเบียสดูฉลาดและเก่งกาจมาก จนทำให้ตัวโทเบียสดูทึ่มไปเลย จุดนี้ทำให้เล่มสามน่าหงุดหงิด เพราะเรื่องมันไม่สมูธอ่ะ แต่เราก็เข้าใจอีกเหมือนกันว่าทำไมต้องเล่าจากมุมมองโทเบียสด้วย (ไม่บอกตรงนี้หรอก ตรงนี้สปอยล์ฟรี อิอิ)
การนำเสนอเรื่อง ก็ไม่มีอะไรน่าแปลกใหม่ เล่าธรรมดา ไม่หวือหวา แต่อ่านง่าย อ่านได้เรื่อยๆ ยกเว้นเล่มสามซึ่งมันอีรุงตุงนัง รายละเอียดเยอะมาก จนเราปวดหัว ยิ่งเล่าโดยสองคน เรื่องมันก็ไปซ้ายที ขวาที มึน เรื่องบางจุดก็ predictable ไม่ได้หักมุมอะไรมากมาย
ตัวละคร
SPOILER FREE ไม่มีสปอยล์
เราคิดว่าไม่มีสปอยล์นะ 555
โอเค ตอนแรกต้องยอมรับว่าเราไม่ชอบนางเอกเท่าไหร่ เราคิดว่านางเอกน่ารำคาญเบาๆ อาจเป็นเพราะเรื่องเล่าจากมุมมองนางเอกเอง ทำให้เรารู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ เยอะนะ แต่ลักษณะหนึ่งของนางเอกที่เราต้องยอมรับนอกเหนือจากเสียสละและกล้าหาญ ก็คือ เรื่องความฉลาด คือ นางเอกฉลาดมาก ไม่ใช่ในแง่ว่า คงแก่เรียน กระหายความรู้ แต่เป็นคนเซ้นส์ดีมากเวลาตัดสินใจจะทำอะไร แม้การกระทำบางอย่างจะน่าหมั่นไส้มากก็ตาม ส่วนตัวพระเอกโทเบียส เริ่มต้นด้วยบุคลิกน่าสนใจ เงียบๆ ขรึมๆ โหดๆ แต่ก็มีมุมน่าสงสารซ่อนอยู่ แต่พอมาเล่มสองเล่มสาม ขณะที่บุคลิกของนางเอกเริ่มเด่นขึ้นเรื่อยๆ เพราะชีเริ่มหาตัวเองเจอแล้ว บุคลิกของโทเบียสกลับน่าหมั่นไส้ขึ้นเรื่อยๆ จนเราว่าเล่มสามนี่ ไม่ไหวละ เราไม่ชอบเลยจริงๆ ช่างเป็นตัวละครที่คิดถึงแต่ตัวเองอะไรขนาดนี้ คือ รู้นะว่ารักนางเอก แต่ขณะเดียวกันก็เหมือนเป็นคนมีทิฐิก็เยอะ สุดท้ายเป็นไง หึหึ ... (ไม่ขอพูดต่อ 55555)
ตัวละครเสริมอื่นๆ ที่เราเห็นว่าน่าสนใจก็คือ Peter คนรู้จักเราจะรู้ว่าเรามักชอบตัวร้ายในหลายๆเรื่องเป็นพิเศษ เพราะเรารู้สึกว่าบางครั้งตัวร้ายเหล่านี้มีบุคลิกที่น่าสนใจกว่าพวกตัวเอก ความซับซ้อนจะมากกว่า เราคิดว่าหนังสือหรือภาพยนตร์ตะวันตก จะสร้างตัวร้ายได้น่าสนใจมากๆ ตัวร้ายที่ติดตรึงในความสนใจของเราก็ เช่น ลอร์ดโวลเดอร์มอร์, สเนป (เราสนใจตั้งแต่ความจริงยังไม่เปิดเผยว่าฮีเป็นคนดี เพราะรู้ว่าเป็นคนดี เรารักเลย 555) และอื่นๆที่นึกไม่ออก ปีเตอร์ก็เป็นบุคลิกนึงที่เราสนใจ เป็นพวกหมาลอบกัด แต่ในขณะเดียวกัน ในเล่มสองและสามก็ทำให้เรารู้ว่า ที่ร้ายๆแบบนี้ บางทีกลับกลอก แต่ก็มีศักดิ์ศรีบ้างเหมือนกัน และที่ร้ายๆไป บางทีฮีก็อยากจะกลับตัวนะ ความสัมพันธ์ของปีเตอร์กับกลุ่ม "คนดี" ในเรื่องน่าสนใจนะ คือ ไม่น่าเชื่อว่าจะหนีกันไม่พ้น เหมือนเป็นตัวละครติ่งที่กลุ่มคนดีไม่ต้องการ แต่ก็สลัดทิ้งไม่ได้สักที
ตัวละครอื่นๆ เราเฉยๆ ไม่ได้รักหรือชอบอะไรเป็นพิเศษ ส่วนใหญ่จะออกไปทางไม่ชอบซะมากกว่า เหอๆ
ตอนจบ
สปอยล์ สปอยล์ สปอยล์ สปอยล์ สปอยล์
โปรดออกไปจากตรงนี้ ถ้าไม่อยากถูกสปอยล์
บาย บาย บาย เจอกันข้างล่าง
ถ้าอยากรู้ใบ้ให้นิดนึงว่า เรื่องนี้จบไม่ดี!
ถือว่าคนที่อ่านอยู่ ณ ตอนนี้พร้อมอ่านสปอยล์ละนะ
นับหนึ่ง
สอง
สาม...
โอเค... อะไรวะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะ
#?$=#$="$=")#)?#)!==)#(/#($#/&$/!(#)!="?!"
อ่านมาตั้งสามเล่ม นี่หรือคือจุดจบที่เรารอคอย $%%"#"4%"""##$&%/&())&%&/
เล่มสามมีจุดที่เราไม่ชอบเยอะมากกกกกกกกกกกกก ขอเขียนแยกเป็นจุดที่ทั้งชอบและไม่ชอบดังนี้
จุดที่ชอบ
-เราชอบไอเดียเรื่องของยีนส์พันธุกรรม สงคราม และการที่บอกว่าสังคมไดเวอร์เจนท์จริงๆแล้วเป็นแค่ปฏิบัติการทดลองเพื่อพัฒนายีนส์ที่ผิดพลาด (คือ ตอนนั้นมีการแก้ยีนส์ แล้วมันพลาด) และพวกไดเวอร์เจนท์คือคนที่ยีนส์พัฒนากลับมาสมบูรณ์เหมือนเดิมแล้ว ไอเดียน่าสนใจมาก
-เราชอบทริสมากขึ้นเยอะ รู้สึกว่าชีฉลาดขึ้นมาก แม้ว่าตอนสุดท้ายชีจะตัดสินใจแบบนั้น เราก็ยังรู้สึกว่าชีฉลาด
-ทริสตายในตอนจบ เราชอบนะที่จบแบบนี้ ไม่ง่ายเท่าไหร่ที่จะฆ่าตัวละครเอก นักเขียนใจกล้ามาก
หมดแล้วสิ่งที่ชอบ 55555
จุดที่ไม่ชอบ
-วิธีการดำเนินเรื่องแบบทริสและโทเบียส ... เราเข้าใจว่าต้องมีคนเล่าเรื่องต่อหลังจากทริสตาย... แต่ ... เอิ่ม ... เราชอบโทเบียสในมุมมองของทริสมากกว่า โทเบียสมีความคิดที่น่ารำคาญมาก สำหรับเรา
-ทริสตายอย่างไม่สมเหตุสมผล คือ เราไม่ไมด์ว่านางเอกตาย ไม่ตาย อะไรยังไง ไม่แคร์ตรงนั้น แต่อยากให้มันสมเหตุสมผลมากกว่านี้ คือ การตายของตัวเอก มันควรจะสร้าง Impact อะไรที่มากกว่านั้น ควรจะเป็น impact ที่มีแต่ทริสเท่านั้น ที่จะสร้างได้ นึกออกมั้ย เหมือนอย่างแฮร์รี่ยังเงี้ย ใครไปตายแทนแฮร์รี่ได้ไหม ก็ไม่ มันจะได้ผลไม่เหมือนกัน ยังไงต้องเป็นแฮร์รี่เท่านั้น แต่ในเคสนี้ คือ ใครจะตายก็ได้ เหมือนทริสดันเจือกไป ก็เลยตาย (ซึ่งตามแผนการมันก็ไม่ควรจะเป็นทริส)
-รู้ความจริงกันง่ายเกินไป ตอนหลังเหมือนไม่มีอะไรน่าค้นหาอีกแล้ว ได้แต่อ่านต่อไปว่า เออ แล้วทุกคนจะทำไงต่อ มันหมดความตื่นเต้นแล้ว
อันที่จริงการตายของทริส ก็ตีความได้อีกแง่ว่า เป็นการตายกลับสู่จุดเริ่มต้นความเป็น Abnegation เป็นการตายที่เรียบง่ายโดยแท้ ชีอาจจะไม่ตายเพื่อ the greater good ไม่ได้สร้าง impact ที่ยิ่งใหญ่ แต่อย่างน้อยที่สุด ชีก็ตายแทนพี่ชายตัวเอง ซึ่งมันก็น่าชื่นชม แม้จะน่าเสียดายตัวละครดีๆอย่างนี้ก็เถอะ มันเป็นการนำเสนอความตายแบบง่ายๆ แบบที่เอาจริงๆ โลกปัจจุบันของเราก็เป็นอยู่ แบบ อ๊ะ ห๊ะ ตายแล้วหรอ! ตายได้ไง ทำไมตาย บลาๆๆ คือ เป็นอะไรที่มาเยือนเราเร็วจริงๆ
เราว่าเรื่องเล่มสุดท้าย ไม่ดึงดูดความสนใจเราเท่าที่ควร ตอนจบไม่ได้สร้าง impact อะไรกับเรามาก เราไม่ได้ร้องไห้ด้วยซ้ำ เพราะเรารู้มาก่อนแล้ว มันจุกเฉยๆ (แต่กลับไปอ่านตอนนี้อาจจะร้องก็ได้นะ ฮือออออ) ฮ่าๆ
ก็เป็นการจบที่ทำให้เราต้องแบบว่า
เอิ่มม // face palm...
หมดสปอยล์ตอนจบแล้ว
แล้ว
แล้ว
แล้วววว
ความรู้สึกที่มีต่อซีรี่ส์นี้
SPOILER FREE ไม่มีสปอยล์
เราคิดว่าซีรี่ส์นี้เป็นซีรี่ส์ที่อ่านเพลินทีเดียว อาจจะไม่ได้มี tension มากเหมือนฮังเกอร์เกมส์ แต่ก็มีไอเดียที่น่าสนใจ ภาษาอ่านง่าย ศัพท์แสงไม่ต้องเปิดดิกชันนารีมากนัก ชอบไอเดียที่แบ่งคนเป็นห้ากลุ่มนั้นมาก เราว่าเป็นการดึงเอาบุคลิกคนมาเล่นได้ดี มี quotes ดีๆเยอะ (ลองเสิร์ชหาในกูเกิ้ลได้) แม้ว่าเล่มสามจะดูแบบ เอิ่ม อะไรวะก็เถอะ เรื่องนี้ไม่ได้ออกแนวการเมือง กบฎ หรืออะไรมากมาย แต่จะออกแนวตามหาความจริงเสียมากกว่า เรื่อง freedom อันนี้ dystopian พูดกันอยู่แล้ว ยังกะเป็นธีมบังคับ ในเรื่องนี้ก็ปรากฏเหมือนกัน เราว่ามันไม่ใช่แนวอ่านไปแล้วจะฮึกเฮิม ยิ่งใหญ่ ซาบซึ้ง มันก็เหมือนการเล่าความจริงเกี่ยวกับสายพันธุ์มนุษย์ในวิธีที่แปลกออกไป ไม่ได้วิจิตรพิสดารมาก ชี้ประเด็นเรื่องวิทยาศาสตร์ วิทยาการที่ล้ำหน้า ว่าบางทีมันส่งผลร้ายยังไง ต้องมาตามล้างตามเช็ดกันยังไง นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องความเชื่อ ... ความเชื่อของมนุษย์นั้นส่งผลยิ่งใหญ่มาก ในการตัดสินใจจะทำอะไรสักอย่าง นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องตัวตน ซึ่งเราได้อธิบายไปแล้วข้างต้น ... เป็นหนังสือที่หยิบยกอะไรออกมาพูดได้หลายแง่มุมทีเดียว แม้ในเรื่องจะมีหึงหวงกันเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีรักสามเส้า (ตัดเรื่องน่าเบื่อสำหรับเราออกไปได้หนึ่งเรื่อง) เปรียบเทียบกับดิสโทเปียนเล่มอื่น อย่าง ฮังเกอร์เกมส์ เราว่าตัวเอกอย่างแคทนิส รักสันโดษนะ ถ้าเลือกได้ชีก็ไม่ได้อยากจะยุ่งกับใคร ถ้าไม่มีใครมายุ่งกับคนที่ชีรักหรือแคร์ ชีก็คงไม่ได้คิดจะลงมือออกมานำใครให้ไปประท้วง (ลองคิดว่าถ้าเอฟฟี่ไม่ได้จับชื่อ พริม ขึ้นมา แคทนิสก็คงไม่เสียสละลงเล่นฮังเกอร์เกมส์แทน) ส่วนลีน่า จากเรื่องเดลิเรียมที่เราเคยรีวิวไป อันนี้ เป็นคนที่เคยอยู่ในกรอบแต่ก็ออกมานอกกรอบได้อย่างสง่างามและดิบเถื่อนทีเดียว บุคลิกจะดูไม่บู๊เท่าคนอื่น แต่จริงๆแล้วถึกมาก เพราะเป็นคนที่สภาพจิตใจบอบช้ำสุดๆ ส่วนทริสเรื่องนี้ เราว่าเป็นคนมีความซับซ้อนในตัวเองพอสมควร ทำอะไรก็จะคิดก่อน อาจจะไม่ได้ไปลำบากในป่าในเขา แต่เป็นคนที่ความกล้าก็ไม่เป็นรองใคร จิตแข็ง เราว่าทริสบุคลิกเหมือนนักรบ แคทนิสเหมือนพรานป่า ส่วนลีน่า...อืม...นึกไม่ออก 555 คือ ด้วยความที่มีจุดต่างจากเรื่องอื่นๆ เราเลยรู้สึกว่าเรื่องนี้สนุกดี แม้ตอนท้ายจะทำได้ไม่ดีอย่างที่เราคาดหวังไว้ก็ตาม
อันที่จริงเราอยากจะเขียนอะไรอีกมากมาย แต่เขียนไม่ไหวแล้ว 5555 ขอทิ้งท้ายด้วยคำพูดดีๆของโทเบียสในตอนจบของเล่มสามก็แล้วกัน
"There are so many ways to be brave in this world. Sometimes bravery involves laying down your life for something bigger than yourself, or for someone else. Sometimes it involves giving up everything you have ever known, or everyone you have ever loved, for the sake of something greater.
But sometimes it doesn't.
Sometimes it is nothing more than gritting your teeth through pain, and the work of every day, the slow walk toward a better life.
That is the sort of bravery I must have now"
--Tobias, Allegiant
❤DIVERGENT QUESTIONS TAG❤
-แฟคชั่นที่คิดจะเลือก: Amity, ไม่ชอบ conflict อยากทำสวนทำไร่ 5555
-แฟคชั่นที่จะไม่มีวันเลือก: Dauntless, ตายห่ะ ตั้งแต่โดดจากรถไฟ ไม่ไปถึง Dauntless Compound แน่นอน
-เล่มโปรด: เล่มแรก
-หน้าปกหนังสือที่ชอบที่สุด: เล่มสอง สีเขียว สวยดี ดูแล้วสงบ สมเป็น Amity
-ตัวละครที่ชอบมากที่สุด: พูดยาก อืม... นางเอกแล้วกัน
-Manifesto ของแฟคชั่นที่ชอบมากที่สุด: Dauntless กับ Erudite, อันนึงฟังแล้วฮึกเหิม อีกอันเป็นความจริง ที่เออ.. ปฏิเสธไม่ได้ ขอคัดส่วนที่ชอบมาตรงนี้
ของ Dauntless บอกว่า
"We believe in ordinary acts of bravery, in the courage that drives one person to stand up for another... We believe in shouting for those who can only whisper, in defending those who cannot defend themselves."
ส่วนของ Erudite ชอบที่บอกว่า
"Ignorance is defined not as stupidity but as lack of knowledge. Lack of knowledge inevitably leads to lack of understanding. Lack of understanding leads to a disconnect among people with differences. Disconnection among people with differences leads to conflict. Knowledge is the only logical solution to the problem of conflict. Therefore, we propose that in order to eliminate conflict, we must eliminate the disconnect among those with differences by correcting the lack of understanding that arises from ignorance with knowledge."
จบจ้า
เหนื่อยมาก.
sábado, 19 de octubre de 2013
BOOKTALK: Requiem (Lauren Oliver)
REQUIEM: จุดจบของการต่อสู้เพื่อความรัก
จริงๆได้อัดวิดีโอพรั่งพรูความในใจไปแล้วทั้งซีรี่ส์ แต่ก็อดไม่ได้ ขอเขียนสักหน่อย ขอยกพื้นที่เล็กๆตรงนี้ให้เล่มสุดท้าย Requiem ...
ถามว่าเราคาดหวังกับเล่มนี้มากแค่ไหน ... บอกเลยว่าไม่คาดหวัง เพราะรีวิวหนาหูมากว่าจบไม่ค่อยสวย
เราเองก็ไม่ได้คิดว่าเรื่องสไตล์นี้มันจะจบสวย แต่อย่างน้อยเรื่องที่มีความรักเป็น core มันก็ควรจะจบแบบ อวยชัยให้ความรักหน่อยสิ ... (เศร้า) แต่เปล่าเลยจ้ะ
บอกตรงๆเราคงรู้สึกเหมือนลีน่า ... ธ่อ.... กุสู้มาตั้งนาน ... นี่หรอคือโลกที่คนมีความรักควรจะอยู่
สุดท้ายแล้ว คนที่ต้องการความรัก ก็ไม่ได้สู้โดยใช้ความรักเป็นเครื่องมือ แต่ใช้ความเกลียดชังที่มีต่อฝ่ายตรงข้าม ความหยาบกระด้าง ความต้องการเอาชนะ เป็นตัวผลักดันให้สู้ ให้เกิดสงคราม
สุดท้ายลีน่า เธอก็ไม่เลือกใครลงไปให้ชัดเจน ... แต่เราก็เข้าใจข้อจำกัด ความซับซ้อนในใจของชีนะ เออ มันไม่ง่ายหรอกที่จะเลือก (แกมันเลือกได้นี่!) แต่ถ้าเป็นเรา เราคงจัดการให้เรียบร้อย ถ้าจะไม่เอาใครเลย ก็คงต้องแสดงออกให้ชัดเจน แต่ใจเรา คิดว่าชีคงเลือกอเล็กซ์อยู่ลึกๆ แต่ชีเป็นคนพาจูเลียนมาไง จะทิ้งๆขว้างๆเค้าก็คงไม่ได้ จูเลียนก็ดีกับชี ผ่านอะไรมาด้วยกันก็เยอะ ถ้าให้จบจริงๆ เราว่าลีน่าคงรักอเล็กซ์มาก แต่คงเลือกจูเลียน .. คือ หลายครั้งความรักมันมีอะไรมากกว่าแค่ ฉันรักเธอ และ เธอก็รักฉันไง บางทีความรับผิดชอบ มันก็ต้องผูกติดมาด้วย ในโลกแห่งความเป็นจริงน่ะนะ
เศร้าอ่ะ อ่านเล่มสุดท้ายแล้ว แม้เราจะกินใจกับฉากโรแมนติกของลีน่าและจูเลียนในเล่มสอง แต่เราก็รู้สึกอยากให้ลีน่าคู่กับอเล็กซ์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ลีน่าเป็นในตอนนี้ ไม่ว่าจะบอกว่าตัวเองเปลี่ยนไปยังไง ถ้ามองย้อนกลับไป ก็ต้องยอมรับว่าจุดเริ่มต้นมาจากอเล็กซ์ ... นึกถึงตอนที่มาในป่าใหม่ๆ แล้วต้องเดินไปตักน้ำที่แม่น้ำไกลมาก ชีก็จินตนาการเอาว่า ถ้าเดินเร็วอีกหน่อยจะตามอเล็กซ์ได้ทัน ทั้งๆที่ตัวเองเห็นอเล็กซ์ถูกยิงต่อหน้าต่อตา รู้ว่าโอกาสรอดไม่มาก ... เราเข้าใจความรู้สึกนั้นเลย 5555
ถ้าจะเทียบแล้วสำหรับอเล็กซ์ ความรักก็คงเป็นการเสียสละ ส่วนจูเลียน ความรักก็คือการปกป้อง
ลีน่าเอาอเล็กซ์ไปเถอะ จริงๆนะ จูเลียนเพิ่งเริ่มรัก น่าจะได้เจอใครที่ดีกว่านี้อีกมาก เอาคอรัลไปก็ได้
เออพูดถึงคอรัล นึกขึ้นได้ว่าเป็นจุดที่เราเกลียดในเล่มสาม
คือ เป็นเรื่องน้ำเน่า ประชดกันไปมานี่แหละ อเล็กซ์ทำดีกับคอรัล ลีน่าหึง หันไปหาจูเลียน ฯลฯ
น่าเบื่อมาก แต่ต้องยอมรับว่า เออ ตอนท้ายทำชดเชยได้ดี แม้จะเจ็บปวดและไม่ตรงใจเรา แต่ถือว่าเป็นตอนจบที่ดี
จริงๆฮานาน่าจะได้เจอความรักสักหน่อยนะ อยากรู้จริงๆว่าพวกที่ cured แล้ว จริงๆแล้วยังมีความรักได้หรือไม่
บอกตรงๆ อ่านเรื่องฮานา เรายังรู้สึกว่า ชีก็เป็นคนปกติที่มีอารมณ์ความรู้สึกปกติ ไม่เห็นเหมือนได้รับการรักษาเลย ...
หรือว่า จริงๆแล้วการรักษาเป็นแค่ในนาม สิ่งที่รักษาความรักของคนทั้งเมืองนั้น จริงๆแล้ว ไม่ใช่ยา ไม่ใช่การเข้าแล็บ แต่คือ การเลือกที่จะไม่รักเองมากกว่า เพราะทุกคนรู้ว่า รักแล้ว ผิด จริงๆแล้วอาจจะไม่มีใครกล้าพูดออกมาว่า ... เออ การรักษาไม่ได้ผลว่ะค่ะ กุพยายามทำตัวของกุเอง ก็เป็นได้
เราชอบนะที่สงครามยังไม่จบ ... เหมือนเป็นการบอกเลยว่า ยังไงการต่อสู้เพื่อให้ได้รับอะไรสักอย่าง มันไม่มีทางจบง่ายๆแค่ในหนังสือสามเล่มหรอก ... บางคนอาจจะต้องใช้ทั้งชีวิต ลีน่า อเล็กซ์ จูเลียน และพวก Invalids ทุกคนก็เหมือนกัน
จริงๆได้อัดวิดีโอพรั่งพรูความในใจไปแล้วทั้งซีรี่ส์ แต่ก็อดไม่ได้ ขอเขียนสักหน่อย ขอยกพื้นที่เล็กๆตรงนี้ให้เล่มสุดท้าย Requiem ...
ถามว่าเราคาดหวังกับเล่มนี้มากแค่ไหน ... บอกเลยว่าไม่คาดหวัง เพราะรีวิวหนาหูมากว่าจบไม่ค่อยสวย
เราเองก็ไม่ได้คิดว่าเรื่องสไตล์นี้มันจะจบสวย แต่อย่างน้อยเรื่องที่มีความรักเป็น core มันก็ควรจะจบแบบ อวยชัยให้ความรักหน่อยสิ ... (เศร้า) แต่เปล่าเลยจ้ะ
บอกตรงๆเราคงรู้สึกเหมือนลีน่า ... ธ่อ.... กุสู้มาตั้งนาน ... นี่หรอคือโลกที่คนมีความรักควรจะอยู่
สุดท้ายแล้ว คนที่ต้องการความรัก ก็ไม่ได้สู้โดยใช้ความรักเป็นเครื่องมือ แต่ใช้ความเกลียดชังที่มีต่อฝ่ายตรงข้าม ความหยาบกระด้าง ความต้องการเอาชนะ เป็นตัวผลักดันให้สู้ ให้เกิดสงคราม
สุดท้ายลีน่า เธอก็ไม่เลือกใครลงไปให้ชัดเจน ... แต่เราก็เข้าใจข้อจำกัด ความซับซ้อนในใจของชีนะ เออ มันไม่ง่ายหรอกที่จะเลือก (แกมันเลือกได้นี่!) แต่ถ้าเป็นเรา เราคงจัดการให้เรียบร้อย ถ้าจะไม่เอาใครเลย ก็คงต้องแสดงออกให้ชัดเจน แต่ใจเรา คิดว่าชีคงเลือกอเล็กซ์อยู่ลึกๆ แต่ชีเป็นคนพาจูเลียนมาไง จะทิ้งๆขว้างๆเค้าก็คงไม่ได้ จูเลียนก็ดีกับชี ผ่านอะไรมาด้วยกันก็เยอะ ถ้าให้จบจริงๆ เราว่าลีน่าคงรักอเล็กซ์มาก แต่คงเลือกจูเลียน .. คือ หลายครั้งความรักมันมีอะไรมากกว่าแค่ ฉันรักเธอ และ เธอก็รักฉันไง บางทีความรับผิดชอบ มันก็ต้องผูกติดมาด้วย ในโลกแห่งความเป็นจริงน่ะนะ
เศร้าอ่ะ อ่านเล่มสุดท้ายแล้ว แม้เราจะกินใจกับฉากโรแมนติกของลีน่าและจูเลียนในเล่มสอง แต่เราก็รู้สึกอยากให้ลีน่าคู่กับอเล็กซ์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ลีน่าเป็นในตอนนี้ ไม่ว่าจะบอกว่าตัวเองเปลี่ยนไปยังไง ถ้ามองย้อนกลับไป ก็ต้องยอมรับว่าจุดเริ่มต้นมาจากอเล็กซ์ ... นึกถึงตอนที่มาในป่าใหม่ๆ แล้วต้องเดินไปตักน้ำที่แม่น้ำไกลมาก ชีก็จินตนาการเอาว่า ถ้าเดินเร็วอีกหน่อยจะตามอเล็กซ์ได้ทัน ทั้งๆที่ตัวเองเห็นอเล็กซ์ถูกยิงต่อหน้าต่อตา รู้ว่าโอกาสรอดไม่มาก ... เราเข้าใจความรู้สึกนั้นเลย 5555
ถ้าจะเทียบแล้วสำหรับอเล็กซ์ ความรักก็คงเป็นการเสียสละ ส่วนจูเลียน ความรักก็คือการปกป้อง
ลีน่าเอาอเล็กซ์ไปเถอะ จริงๆนะ จูเลียนเพิ่งเริ่มรัก น่าจะได้เจอใครที่ดีกว่านี้อีกมาก เอาคอรัลไปก็ได้
เออพูดถึงคอรัล นึกขึ้นได้ว่าเป็นจุดที่เราเกลียดในเล่มสาม
คือ เป็นเรื่องน้ำเน่า ประชดกันไปมานี่แหละ อเล็กซ์ทำดีกับคอรัล ลีน่าหึง หันไปหาจูเลียน ฯลฯ
น่าเบื่อมาก แต่ต้องยอมรับว่า เออ ตอนท้ายทำชดเชยได้ดี แม้จะเจ็บปวดและไม่ตรงใจเรา แต่ถือว่าเป็นตอนจบที่ดี
จริงๆฮานาน่าจะได้เจอความรักสักหน่อยนะ อยากรู้จริงๆว่าพวกที่ cured แล้ว จริงๆแล้วยังมีความรักได้หรือไม่
บอกตรงๆ อ่านเรื่องฮานา เรายังรู้สึกว่า ชีก็เป็นคนปกติที่มีอารมณ์ความรู้สึกปกติ ไม่เห็นเหมือนได้รับการรักษาเลย ...
หรือว่า จริงๆแล้วการรักษาเป็นแค่ในนาม สิ่งที่รักษาความรักของคนทั้งเมืองนั้น จริงๆแล้ว ไม่ใช่ยา ไม่ใช่การเข้าแล็บ แต่คือ การเลือกที่จะไม่รักเองมากกว่า เพราะทุกคนรู้ว่า รักแล้ว ผิด จริงๆแล้วอาจจะไม่มีใครกล้าพูดออกมาว่า ... เออ การรักษาไม่ได้ผลว่ะค่ะ กุพยายามทำตัวของกุเอง ก็เป็นได้
เราชอบนะที่สงครามยังไม่จบ ... เหมือนเป็นการบอกเลยว่า ยังไงการต่อสู้เพื่อให้ได้รับอะไรสักอย่าง มันไม่มีทางจบง่ายๆแค่ในหนังสือสามเล่มหรอก ... บางคนอาจจะต้องใช้ทั้งชีวิต ลีน่า อเล็กซ์ จูเลียน และพวก Invalids ทุกคนก็เหมือนกัน
lunes, 29 de julio de 2013
viernes, 5 de julio de 2013
BOOKTALK: Pandemonium -- Lauren Oliver
PANDEMONIUM
เพิ่งจะอ่านจบไปสดๆร้อนๆ ขอกรี๊ดก่อนแล้วกัน
โอยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
เรื่องนี้ก็ต่อจาก Delirium เลย แต่วิธีการเล่าจะเป็นสองช่วงเวลาสลับกันคือ now และ then
ตอน then ก็จะเล่าชีวิตของ Lena ใน the Wilds การเติบโตของตัวละคร ซึ่งเราชอบชีในเวอร์ชั่นนี้มากกว่าเดิมเยอะเลย ส่วนตอน now ก็จะเล่า Lena ตอนเป็นพวกต่อต้าน แล้วแฝงตัวเข้ามาเพื่อตามดู Julian เด็กหนุ่มที่ยังไม่ได้รับการรักษา แต่เป็น symbol ขององค์กรที่ต่อต้านพวก Invalids คือ รายละเอียดมันก็เยอะอ่ะนะ ขี้เกียจจะสาธยาย 5555
เอาเป็นว่า สองคนนี้โดนจับตัวไปใต้ดินพร้อมๆกันจ้า (ซึ่งอันนี้ที่จริงเป็นแผนของพวก Lena เองด้วย แต่ชีไม่รู้เรื่องไง เค้าบอกให้ชีเฝ้าพ่อหนุ่มคนนี้ ชีก็เฝ้าไป พอเค้าโดนจับ ชีก็ตามไป เลยโดนจับไปด้วย)
และแน่นอน ระหว่างถูกจับ ความรักก็บังเกิดงอกงามขึ้นจ้า พอกลับขึ้นมาก็ได้ไปแอบอยู่ด้วยกันที่ homestead ของพวก Invalids ปรากฏว่า Julian กับ Lena ก็จูบกัน โอยยยย นี่เป็นฉากโปรดมากกกก น่ารักมากกกกกกก มากกว่าตอนกับ Alex อีกกกกก (กรีดร้อง) แต่ปรากฏว่าก็โดนตามจับ Lena ปลอดภัย แต่ Julian จะโดน executed สุดท้ายชีก็ไปช่วย ทุกคนหนีกันไปได้ จะขึ้นเหนือ
ไฮไลต์มันอยู่ตรงนี้ ว่า ตอนที่กำลังสัญญิงสัญญานั้น ตา Alex โผล่มา ... อ้าว ยังไม่ตาย ... เวร -.-
เจ็บปวดกับตอนจบจริงๆ
คือเราก็เข้าใจ Alex นะ แต่เราเชียร์ Julian อ่ะ ดูแบบอินโนเซ้นท์ ใจเย็นกว่า และบลาๆๆ
ส่วนที่ชอบในเรื่องนี้น่าจะเป็นพล็อตนะ แล้วก็แอบอยากให้ทั้งคู่สวีทกันมากกว่านี้
ชอบที่นางเอกเข้มแข็งขึ้นมากๆ เพราะต้องอยู่ในป่า หากินเองกับคนอื่นๆ ต้องเห็นพวกพ้องตายไปต่อหน้าต่อตา คือ มันดิบมาก ...
แล้วพอมาเจอ Julian ก็แบบ น่ารักอ่ะะะะะะ แม้ Alex จะยังตามมาหลอกหลอน แต่ Julian ดูเป็นคนนุ่มนวลมาก เราเองก็ไม่ได้อาลัยอาวรณ์กับ Alex ตั้งแต่ภาคแรกอยู่แล้ว ก็เลยเฉยๆ เจอฉากจูบฉากนั้นไป เรากรี๊ด สลบทันที
(แม้จะรู้ว่า สุดท้ายชีก็น่าจะกลับไปหา Alex อ่ะนะ)
โอยย ไม่รู้จะคอมเม้นท์อะไรมาก แต่ที่ไม่ชอบคือ ส่วนที่ตัดกลับไปกลับมาระหว่าง now and then นี่ล่ะ ก็พอจะเข้าใจว่า นักเขียนพยายามจะหาวิธีการเล่าที่ไม่น่าเบื่อ คือไม่ใช่เล่าตาม chronological order แต่คือแบบ มันทำให้เรามึนๆงงๆ บางที ต้องพลิกไปดูหน้าแรกว่า เออ นี่ตอนไหนนะ now หรือ then แล้วเราก็ชอบ Lena ในเวอร์ชั่นอยู่เมือง ตามดู Julian เลยเฝ้าแต่จะอ่านตอนพวกนั้นเร็วๆ คือ ตอนอยู่ป่า ชีวิตแลดูหดหู่เกินบรรยาย ต้องมาเผาศพเพื่อน ไม่มีข้าวกิน โดนถล่ม หลงกัน มีคนตาย ฯลฯ
ไม่ไหว หดหู่เกินไป
สรุปเรื่องก็ค้างเติ่งอยู่ตรงที่ Alex โผล่มา เอ่อะะ...
ไม่รู้จะไปซื้อเล่มสุดท้ายมาอ่านดีมั้ย แต่ก็คิดว่าจะอ่านๆไปนั่นแหละ จะได้จบซีรี่ส์สักที
นี่ช่วงตุลา เล่มสุดท้ายของ divergent จะออกแล้ว ตื่นเต้นมาก
ต้องกลับไปอ่านเล่มแรกใหม่ตั้งแต่ต้นแล้วล่ะะะะ!!!
จริงๆไม่ได้อยากจะรีวิวอะไรมากมาย แค่จะมากรี๊ดความสวีทของ Julian&Lena <3
Suscribirse a:
Entradas (Atom)