jueves, 31 de marzo de 2011

W&T: Being A Sandwich Artist!

ความจริงตั้งใจจะมาอัพวันหยุดงานแหละนะ แต่ปรากฏว่าวันนี้คอมอยู่ว่างๆ เพราะน้องหมิงออกไป hang out กับเพื่อนที่ทำงาน เลยยึดคอมซะเลย (โฮะโฮะโฮะ) ก็เลยขออัพอย่างเต็มที่ และขอเล่าชีวิต sandwich artist ที่ชื่อว่าหทัยพันธน์ให้ทุกท่านได้ฟังดังนี้ เป็นช่วงชีวิตอันยาวนานที่จริงๆแล้วทำงานอย่างทรหดไปเป็นจำนวนเพียงแค่หกวันเท่านั้น (รู้สึกเหมือนอยู่มาซักปีนึงได้!)

(โปรดอ่าน; อาจมีคำไม่สุภาพบ้าง เพราะอยากเล่าและอยากระบายให้เข้าถึงอารมณ์ ต้องขออภัย)

หลังจากวันแรกที่เค้าปล่อยให้เราดูวิดีโอกับล้างจานไปอย่างหรรษาแล้วนั้น เราก็หลงคิดไปว่า โถ งานคงไม่เป็นไรมาก สู้ไม่ถอย แต่วันที่สองมาเท่านั้นแหละ ... #@~!*(&#@)#(@**@ ต่างกันราวฟ้ากับเหว นรกกับสวรรค์ เนื่องจากเกิดความผิดพลาดคนเข้างานน้อยเกินไป เราจึงต้องโผล่ออกไปหน้าเคาท์เตอร์และสู้รบกับกองทัพมนุษย์หิวโซแทน วันแรกของการอยู่หน้าเคาท์เตอร์ (ต่อไปขอเรียกว่า line) และวันที่สองของการทำงาน เรากับพี่ออมต้องคอยดูแลเรื่องผัก คือใส่ผักในแซนด์วิชตามที่ลูกค้าต้องการ ใครไปกินซับเวย์มาแล้วคงจะนึกออก เดี๋ยวเราจะอธิบายให้ละเอียดอีกที เอาเป็นว่า เราประจำอยู่ส่วนใส่ผัก แล้วก็ต้องฟังลูกค้าว่าต้องการผักอะไรบ้าง และจะใส่ซอสอะไรหรือทอปปิ้งอะไร ทำไปทำมาก็ชินๆนะ พอจับได้บ้าง วันนั้นคนก็บังเอิญเยอะมากกกกกกกก จากที่ได้กลับสองโมง กลายเป็นต้องกลับสี่โมง ก็ดีได้ทำงานเจ็ดชั่วโมง แต่ขอโทษเถอะ ลืม clock in ง่าวสุดๆๆๆ ฮือๆๆๆ เกือบได้ทำงานฟรีแล้วเชียว บทเรียนของวันนี้สอนให้รู้ว่า มาถึงปุ๊บอย่าลืมตรงไป clock-in ที่เคาท์เตอร์ก่อน ฮืออออ

วันต่อๆมาไม่อยากจะพูดถึงคือความยากมันเพิ่มพูนมาก บางทีก็ต้องมาประจำในส่วนเนื้อ ซึ่งจำได้ครั้งแรกที่มาทำนั้น เราแบบอยากจะร้องไห้ เค้าสั่งไรมาไม่รู้เรื่องเลย ทำได้แค่เออ ใส่ชีสซึ่งแงะมาแปะยากมาก แล้วก็ยัดแซนด์วิชเข้าเตาอบ เราทำได้แค่นี้จริงๆ พอผู้จัดการถามเมนูว่าแต่ละอันมีอะไรบ้าง ไม่รู้เลยอ่ะ ตอบไม่ได้ อยากกรีดร้องออกมา แบบ โว้ยยยย ใจเย็นๆดิลุง! หลังจากวันอันเลวร้ายนั้นเราเลยถ่ายเมนูพร้อมส่วนประกอบมานั่งท่องที่บ้าน แล้วหมิงก็ใจดียอมเล่นเกมกับเราด้วย 555 คือเราใช้วิธี พิมพ์ชื่อส่วนผสมต่างๆ ใส่กระดาษไปปริ้น (โรงแรมให้ปริ้นฟรี เลยล่อมันซะหกแผ่น ฮ่าๆ) แล้วตัดเป็นชิ้นๆ พอท่องเมนูได้ ก็เล่นสมมุติเป็นลูกค้ากับคนทำ สั่งเมนูขนมปังใส่เนื้ออะไรบ้าง (ไส้แซนด์วิชที่ร้านเค้าจะเรียก sub อ่ะนะ) ก็ลองทำดู ปรากฏอีกวันนึง มันก็ทำได้ดีขึ้นนะ แต่เราแค่ยังหั่นขนมปังไม่สวย แต่ก็พอจำเมนูได้ (จริงๆตรงเคาท์เตอร์ก็มีแปะบอกไว้ แต่ตอนลูกค้ามาอ่านไม่ทันอ่ะ เหอๆ) ปัญหาคืออาจจะฟังไม่รู้เรื่องฟังไม่ทัน เราก็ถามย้ำบ่อยๆ บ่อยจนรำคาญกันไปข้าง แต่ก็ดีกว่าทำผิดอ่ะ เหอๆ บางทีฟังไม่รู้เรื่องก็เรียกคนแถวนั้น เดวิดดด เจสสิก้าา ริคคค แต่ไม่ค่อยกล้าไปยุ่งกับเมเนเจอร์ คืออยู่กับเค้า รู้สึกกดดันมาก ไม่ยักกะใช่คุณลุงใจดีอย่างที่คิดไว้ คือถ้าไม่ใช่เวลางานเค้าจะใจดีมากเลยนะ แต่พอเวลางานปุ๊บเครียดทันที ยิ่งวันไหนเราต้องไปทำผักแล้วเค้าเป็นแคชเชียร์นะ เราจะแบบ โว้ยย ห่อแซนด์วิชได้อุบาทมากกก (คือสองส่วนนี้จะอยู่ใกล้กัน) คือทุกวันนี้ไปทำงานด้วยความรู้สึกเครียดว่าแบบ วันนี้จะโดนอะไร เพราะมันเป็นงานที่เจออะไรใหม่ๆตลอด ลูกค้าเปลี่ยนหน้าไปเรื่อยๆ แล้วถึงจะเป็นคนเดิมก็รับประกันไม่ได้ว่าเค้าจะสั่งเมนูเดิม เราเลยรู้สึกว่ามันยากอ่ะ แล้วทุกคนค่อนข้างกดดันเราด้วย เราก็แบบ โว้ยยย กู freak out สุดๆ เครียดทุกวันจริงๆ แต่ก็คิดซะว่า ช่างแม่ง อย่าคิดเลยว่าคนอย่างข้าพเจ้าจะยอมแพ้ ไม่มีทาง ยิ่งยากยิ่งจะทำให้ได้ มันก็เหนื่อยนะ ร้องไห้งอแงเหมือนกัน แต่ก็คิดว่า เออ ร้องไป เสียใจไป เครียดไป เอาให้เต็มที่ เออ! แต่อย่ายอมแพ้แค่นั้นก็พอ บางทีเค้าก้ไม่ได้ว่าอะไรขนาดนั้น แต่คนที่รู้จักเราจะเข้าใจว่า เออ เราไม่ชอบให้งานไม่เพอร์เฟ็กต์อ่ะ ทุกอย่างต้องออกมาดี ถึงจะทำดีมาทั้งวันแต่ถ้าพลาดไปนิดเดียว เราก็อาจจะเฟลไปทั้งวันเลยได้เหมือนกันนะ หกวันมานี่ส่วนใหญ่ก็เป็นยังงั้น มีวันนึง เมื่อวานมั้งแบบทำเสร็จละ จะกลับละ เมเนเจอร์บอกล้างจานแล้วกลับได้ เราก็จะโล่ง เออวันนี้ไม่โดนอะไรเท่าไหร่แฮะ เพราะไปทำเนื้อซะส่วนใหญ่ไง เริ่มชินหูบ้าง แต่สักพักอิคุณริค (พ่อจักรยานเขียว) ก็ตะโกนมาจากหน้าเคาท์เตอร์ "Omi!! Save me!!!" ชิบละ คิดในใจเกือบรอดแล้วเชียว แล้วคราวนี้ไปประจำอยู่ตรงผัก โอ๊ย เท่านั้นแหละเหมือนนรกอยู่ข้างๆ คุณลุงเมเนเจอร์แกแบบอยู่ตรงแคชเชียร์เลย ทั้งเร่ง ทั้งโน่นนี่นั่น สารพัด ทำเสร็จมีการมาบอกเราว่า เออ เมื่อกี้ทำไมไม่ห่อของคนนี้ ไปช่วยใส่ผักให้อีกคนทำไม แต่ขอโทษเถอะนะ ตอนนั้นแซนด์วิชที่ห่อแล้วกองอยู่ตรงแคชเชียร์บึ้ม ไอ้เราก็หวังดี เดี๋ยวมาห่อก็ได้ เพราะคนมันเยอะ เดี๋ยวปนกัน ถ้าห่อแล้วไม่รู้ว่าไส้อะไรไง ก็ไปช่วยใส่ผักของอีกอัน เพราะตรงผักพ่อจักรยานเขียวแกทำอยู่คนเดียว ถึงมันจะทำเร็วแค่ไหน แต่ก็ไม่เท่าส่วนเนื้อที่ส่งแซนด์วิชมาให้ คือมันกองเยอะมากกก เราเลยไปช่วย แต่คือพอเมเนเจอร์บอกแบบนี้เราก็เลย เออ วันหลังไม่ไปก็ได้ ห่อกองกันตรงนี้แหละ โว้ย! วันนั้นกลับมาเฟลทั้งวันทั้งคืน

One day in Sandwich Artist's Life
ชื่อซะสวยหรูแต่งานนี่ไม่ได้หรูอย่างที่คิด มาถึงปุ๊บปกติเราก็ต้องทำ prep ก่อน คือเป็นการเตรียมพวกส่วนผสมต่างๆ ผัก เนื้อ ขนมปัง บลาๆ ให้เต็มสต็อก ก็แล้วแต่ว่าวันนั้นต้องทำอะไรบ้าง เค้าก็จะมาบอกว่าต้องการอะไรเท่าไหร่ ก็ทำไปตามจำนวนนั้น เรายังไม่ค่อยได้ยุ่งกับขนมปังนะ แต่ขนมปังของที่ร้านเรามีห้าแบบ ทิ้งทุกสี่ชั่วโมง เพื่อความสดใหม่ (เสียดายมาก วันนี้ว่าจะแบกลังขนมปังเสียกลับมาลองหั่นดู แต่ว่าลืม เหอๆ) ก็จะมีวิธีการอบที่เยอะแยะมากอยู่พอควร ทุกอย่างทำเสร็จแล้วยัดห้องเย็น (ฟังดูน่าสยอง แถมหนาวมากกก) เสร็จแล้วงานหลักของเราอีกอย่างคือ ล้างจาน เพราะมันไม่มีใครทำ แล้วเราเองก็ไม่รู้จะทำอะไร ก็เลยเอาวะล้างจานไปเรื่อยๆละกัน ตอนนี้เรายังได้ทำกับพี่ออมอยู่ ก็จะช่วยๆกัน แต่เสาร์นี้ต้องแยกกันทำแล้ว น่ากลัวมาก แต่ไม่เป็นไรมีเดวิด (พ่อหัวฟ้า) แถมไม่ต้องเจอลุงเมเนเจอร์ด้วย (วูฮู้~) ก็หวังว่าเดวิดจะไม่ใจร้ายกับเรามากเกินไปนัก ฮือๆ อ่ะต่อนะ พอล้างจานไปซักพักคนก็จะเริ่มเยอะ สักประมาณสิบเอ็ดโมงคนจะเริ่มมาเรื่อยๆ แต่จะเรื่อยๆไงไม่เยอะมาก แต่พอเที่ยงกว่าๆ แถวจะยาวมากเกือบไปถึงประตู ตอนนั้นล่ะ เราก็จะทำกันมือเป็นระวิง เผื่อใครไม่เคยกินซับเวย์ก็จะอธิบายให้ฟังนะ เราจะแยกเป็นสามสเตชั่นละกัน มีส่วนเนื้อกับขนมปัง ส่วนผักแล้วก็แคชเชียร์ ส่วนเนื้อก็จะรับผิดชอบถามว่าจะกินแซนด์วิชอะไร ใส่ขนมปังแบบไหน และกินแบบฟุตลอง (สิบสองนิ้ว) หรือฮาฟ (หกนิ้ว) คือขนมปังมีห้าแบบละ จะเรียงในตู้หลังเคาท์เตอร์ตามสเตปดังนี้คือ Italian หรือ White Bread จะเป็นขนมปังขาวที่เราเห็นกันทั่วไป (มั้ง) เสร็จแล้วก็ Wheat, Italian Herbs&Cheese, Honey Oat แล้วก็ Parmesan Oregano ส่วนอีไส้มันเนี่ย (ที่เราพยายามเล่นเกมอยู่กับหมิงแล้วก็ท่องยังกะจะเอาไปสอบอ่ะนะ) มีประมาณสิบกว่าไส้ได้ เกือบยี่สิบ ก็ต้องจำว่าใส่อะไรเท่าไหร่ เช่น Subway Melts ต้องใส่ Turkey 4/Ham 4/Bacon 4 ถ้าใส่ชีสด้วยก็ต้องถามอีกเอาชีสอะไร แล้วใส่ไปสี่ชิ้น ร้านเรามีชีสสี่แบบ American สามเหลี่ยม/Provelone ครึ่งวงกลม (เขียนไงไม่รู้แฮะ)/Swiss มีรู/Mix ฝอยๆ (เป็น cheddar แบบผสม) ใส่เสร็จก็ถามว่าจะให้อบไหม ถ้าไม่อบก็ส่งไปสเตชั่นผัก แต่ถ้าอบก็ต้องเอาไปอบ บางคนไม่อบ แต่กินไก่เงี้ย ไก่ก็ต้องเอาไปอุ่นในไมโครเวฟ เพราะว่าไก่มันเย็นเจี๊ยบเลย แต่ก็มีบางคนกินเย็นๆยังงั้นก็มีเหมือนกัน ในส่วนของผักก็จะมี ผักมากมายขี้เกียจจะสาธยาย ก็ต้องโรยไปตามเค้าบอก บางคนก็ชอบสั่งแบบเยอะๆๆๆ แต่พอจะปิดแซนด์วิชที โหย ไส้ทะลัก พอใส่ผักตามที่เค้าบอกเสร็จก็ใส่ซอส มีประมาณแปดชนิดมั้ง ก็จำไว้ว่าแบบที่มันเป็นน้ำๆใส่ผัก ครีมๆใส่เนื้อ เสร็จแล้วก็ถามว่าจะเอาท้อปปิ้งอะไรไหม บ้างคนเอาเกลือ พริกไทย ชีส ออริกาโน อะไรก็ว่าไป เสร็จแล้วจริงๆต้องถามว่าแซนด์วิชที่เราทำให้เค้าดูดีแล้วหรือยังด้วย แต่เราไม่กล้าถามเว้ย กลัวมันตอบว่ายังไม่สวย เดี๋ยวแม่งต้องทำใหม่ ฮ่าๆๆๆ การปิดแซนด์วิชแล้วห่อ เหมือนจะง่ายนะ แต่แบบต้องอาศัยทักษะเหมือนกันนะ ถ้าเป็นแบบฟุตลองปิดแล้วก็ต้องหั่นครึ่งด้วย บางทีไส้มันย้อยจริงๆ แต่เราก็แบบช่างมันเถอะ เพราะตอนปิดแซนด์วิชแล้วห่อ ลูกค้าจะไปจ่ายตังค์แล้ว ในส่วนของแคชเชียร์ก็จะถามว่าเออ เอาไรเพิ่มใหม่ เป็นเซตหรือเปล่า อะไรงี้ จริงๆเค้าก็สอนกดคร่าวๆละแต่เรายังไม่ได้รับอนุญาตให้กดอย่างเป็นทางการ ก็ห่อไปเถอะวันๆ งานก็จะประมาณนี้ทุกวัน ลูกค้าบางคนน่ารักมาก เห็นเราเอ๋อๆ ก็จะสั่งช้าๆชัดๆ ถามซ้ำก็ไม่ว่า ยิ้มไป มีคนนึงคงมาหลายรอบแล้วถามเราว่า "อ้าว ยังอยู่ช่วงเทรนอยู่อีกเรอะ" เอ่อะ นะ เค้าก็จะรู้แล้วก็ค่อยๆสั่ง แต่ก็มีลูกค้าบางคนเรื่องมากกก จนเราแบบ มาเลยเจ๊ เจ๊มาใส่เองเลยมั้ยคะะะ! มีคนนึงใส่แตงกวาดองหนึ่งชิ้นแบบหั่นครึ่ง เราแบบ ... เอ่อะ จะได้รสไหม หรือมันเป็นสูตรคุณนายแก ช่างเถอะ ทำแล้วก็ได้เห็นคนแปลกๆเยอะดี บางคนทำหน้ารังเกียจบอกเราว่า ไปเปลี่ยนถุงมือใหม่ได้ไหม =.= เราก็ไม่ว่าอะไรนะ แต่ตอนมันพูดฟังไม่รู้เรื่อง ฮ่าๆ (อย่าชวนคุยนอกเหนือเรื่องอาหาร ไม่งั้นจะไม่สามารถตอบโต้ได้) บางคนก็แบบขอมีดหั่นขนมปังสะอาดๆหน่อยได้ไหม ถ้าไปอยู่ไทยเรื่องมากแบบนี้ โดนอาฆาตแหงๆ แต่ที่นี่ไม่นะ แบบขอมาทำให้หมด เราก็ยิ้มใส่ทุกคนก่อนเลย อย่างน้อยถึงมันหิวกันมาแต่มันเห็นคนขายยิ้มมันก็คงยังปราณีอยู่บ้าง นอกเหนือจากงานตรงเคาท์เตอร์กับในครัวก็มีต้องไปเช็ดโต๊ะบ้าง ถูพื้นบ้าง คือต้องยุ่งตลอดเวลาไม่งั้นลุงเมเนเจอร์แกจะคาดโทษเอาได้

เพื่อนร่วมงาน
รู้สึกว่าเขียนยาวไปละ แต่เอาเถอะ ฮ่าๆๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อยากเม้าท์มากนะ เพราะเพื่อนร่วมงานก็เป็นจุดสำคัญที่ทำให้บรรยากาศของร้านเปลี่ยนไปได้เลยอ่ะ อิจฉาหมิงกับพี่มิ้มนะ เค้าแบบเพื่อนร่วมงานฟังดูน่ารักดี อาจจะได้ชั่วโมงทำงานน้อยกันไปหน่อย แต่เค้าดูแบบเฮฮา อายุก็พอๆกัน กลับก็มีคนมาส่งไรงี้ มีชวนไปเที่ยว คือมันก็มีบรรยากาศการทำงานที่ดีไง

แต่คือร้านเราอ่ะนะ คนละเรื่องเลย แบบทุกคนเป็นผู้ใหญ่เกือบทั้งหมด ยกเว้นริคที่น่าจะอายุพอๆกับเรา หรือน้อยกว่า อย่างเมเนเจอร์งี้ ถ้าอยู่คือร้านจะเครียดขึ้นมาทันทีในความรู้สึกเรา คือทุกคนจะแบบทำตัวยุ่งตลอด ทั้งๆที่มันก็ไม่มีไรต้องทำมากมายขนาดนั้น เวลาทำผิดเค้าจะไม่บอกตรงๆนะ ไม่ได้ดุด่าอะไร แต่ถ้าเค้ามองหน้านิ่งๆเมื่อไหร่ ให้รู้ตัวทันทีว่าแม่งมี something wrong แหงๆ คือเค้าเป็นคนดี เป็นคนเฮฮาด้วยบางที แต่เวลางานคือจริงจัง เราก็พยายามเข้าใจเพราะเค้าเป็นผู้จัดการด้วย เล่นมากก็ไม่ได้ แต่ไม่รู้ทำไมอยู่กับเค้าแล้วเราไม่สบายใจเลยซักนิดเดียว ภาวนาให้เค้าออกไปข้างนอกทุกวัน 555

อีกคนนึงที่เราได้ทำงานด้วย คือพูดง่ายๆเค้าเป็นเทรนเนอร์เรา คือ เจสสิก้า ก็ดูเป็นคนคล่องนะ เพราะทำงานมานานพอสมควร สองปีได้มั้ง ก็จะทำอะไรเร็วๆ คอยสอนนั่นนี่ แต่นอกเหนือจากเรื่องงานเค้าจะไม่ค่อยพูด ถามได้เค้าไม่ว่าอะไร คือเป็นคนที่โอเคแหละ แต่อาจจะด้วยอายุที่ต่างกัน แต่เพศเดียวกัน แล้วเค้าก็ค่อนข้างละเอียดบวกกับทำงานมานาน ทำให้เราแอบเกรงๆอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่ถึงขั้นลุงผู้จัดการไง อย่างน้อยเค้าก็ชิวกว่า

อีกคนคือ พ่อจักรยานเขียว หรือ ริค (ฮ่าๆๆ) ที่เรียกแบบนี้เพราะวันแรกที่เจอมันปั่นจักรยานเขียวมา หน้าตาโอเคเลยอ่ะ สำหรับเราถือว่าดูดี แต่งตัวก็ฮิปฮอปนิดๆ แรกๆที่ได้ทำงานด้วยกัน เกลียดมันมากกก นรกที่สุด คือมันไม่พูดไม่จาอะไรกับเราเลย ทิ้งเราทำงานไป มันก็คุยกับคนอื่นไป แต่ถ้าคนอื่นไม่อยู่มันก็จะหาเรื่องไม่อยู่กับพวกเราเหมือนกัน นิ่งๆเงียบๆไปเลย ตอนแรกเรากับพี่ออมก็แบบ อีตานี่ มนุษยสัมพันธ์แย่จริงๆ มีวันนึงที่ต้องทำงานกับมัน ตอนแรกเราแบบ เอี้ย ใครก็ได้ แต่ไม่ใช่ไอ้นี่ด้วยเถอะ ได้โปรดดด ก็เกลียดขี้หน้ามันไปประมาณสองสามวัน แต่พอได้ทำงานจริงๆมันก็เป็นคนใช้ได้ แถมเป็นคนที่ทำให้บรรยากาศการทำงานไม่เครียดด้วย คือเราเดาว่ามันก็คงเป็นคนขี้อายอ่ะ ไม่กล้าทักไม่กล้าคุยกับเรา เพราะเราอยู่กันสองคน ชอบคุยจุกจิกกันเป็นภาษาไทย แต่พอได้ทำงานด้วยกัน มันช่วยตลอดนะ เราก็หลังๆถามมันริคนี่กดอะไร ริคนี่ใส่อะไร เป็นคนใช้ได้เลยล่ะ เรียกเราอะไรนะ ... ออมมี่ โฮมมี่อะไรของมัน ก็เลยรู้สึกเออ ก็เริ่มคุ้นเคยกันแล้วมั้ง อย่างน้อยมีมันก็ทำให้ฮาได้ ไม่ต้องเครียด

สุดท้ายที่ได้รู้จักในร้าน เป็นฮีโร่เรามาก คือเดวิด หรือพ่อหัวฟ้า จริงๆเค้ายอมตรงกลางหัวเค้าเป็นสีน้ำเงินนะ แต่เราว่าสีน้ำเงินมันเรียกยากไป เรียกหัวฟ้านี่แหละ ฮ่าๆๆ เค้าก็จะผมยาว พูดน้อย ตอนแรกเราก็แบบ นี่ฉันต้องทำงานกับมนุษย์ผู้นี่หรือ วันๆจะได้พูดบ้างไหม ... พอเอาเข้าจริงก็ไม่ได้พูดแหละ ฮ่าๆๆๆ แต่เค้าดีมาก มาชวนคุย เหมือนเค้าก็เพิ่งเริ่มงานได้ไม่กี่เดือน ก็คงเข้าใจเราอ่ะ ชอบบอก เนี่ยทำได้ดีแล้วจริงๆนะ บางทีก็ถาม เครียดไหม เป็นอะไรหรือเปล่า เห็นเราหน้าแย่ๆก็ถามตลอด เราเลยรู้สึกดีว่า เออ ถ้ามีคนนี้แล้ว เราคงไม่เป็นไร เค้าก็บอกมีไรถามได้ตลอดนะ คอยบอกโน่นนี่ให้เรา พยายามจะชมส่วนที่เราทำได้ดีอ่ะ แล้วก็บอกก่อนหน้านี้เค้าก็โดนมาเยอะเหมือนกัน อาทิตย์หน้านี้เค้าอยู่ปิดร้านตลอดเลย คือเราทำงานกับพี่ออมสลับกันแล้วไง แล้วต้องอยู่ปิดร้าน เรายังคิดในใจ กุจะกลับยังไง ร้านปิดห้าทุ่ม รถหมดทุ่มนึง แต่นึกไปถึงเค้าอ่ะ เค้าต่อรถตั้งสองต่อ แล้วรถก็หมดเหมือนกัน แล้วเค้าจะกลับยังไง ไหนยังจะต้องมาดูแลเราอีก คือ ก็รู้สึกดี เหมือนว่าการที่เค้ายอมทำตรงนี้ มันก็ทำให้เรารู้สึกอุ่นใจว่า เออ ดึกไม่เป็นไรวะ ทำกับเดวิด มีครั้งนึงที่เราทำไปแล้วแย่อ่ะ วันที่ทำเนื้อแรกๆ เค้าก็มาบอก ทำไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็ดีขึ้น เร็วขึ้น วันนี้ก็ทำเร็วขึ้นแล้วนะ ขออย่างเดียวนะ อย่ายอมแพ้ เราาแบบ โถ พ่อหัวฟ้า ช่างเป็นคนดีจริงๆ ก็ถึงจะพูดน้อย แต่เค้าเป็นคนช่างสังเกตและเข้าใจคนอื่นดีมากนะ เป็นคนเดียวที่เล่าเรื่องตัวเองให้เราฟัง และถามเรื่องของเรา ถ้าได้ทำงานกับเค้าก็ดีอ่ะแหละ ดีใจเหมือนกันที่อาทิตย์หน้าได้ทำงานกับเค้าซะเป็นส่วนใหญ่ อย่างน้อยก็ไม่มีใครคอยจ้องจะคาดโทษ เหอๆๆๆ แค่ทำกับลูกค้ามันก็กดดันพอละไง มาเจอคนในร้านกดดันอีก เราแบบ จะเป็นบ้าแล้วโว้ย แต่เดวิดจะช่วยตลอด แนะนำโน่นนี่ ก็คล้ายๆริค แต่ริคไม่ค่อยแนะนำ หยิบไปทำเลย เพราะมันทนดูเราทำไม่ได้ คงเกะกะลูกกะตามัน 555 เดวิดจงเจริญ =.=

สรุปนะ งานนี้ยากเป็นสองเท่าสำหรับเรา นอกจากจะต้องดีลกับลูกค้า จำเมนูและทำแซนด์วิชให้ได้แล้ว เรายังต้องฟังลูกค้าให้รู้เรื่องด้วย คือเรื่องภาษาก็สำคัญมาก ถ้าลูกค้าดีก็ดีไป แต่ถ้าลูกค้าเรื่องมาก ขี้หงุดหงิดหน่อย เราก็ต้องทนให้ได้ เรียกหาตัวช่วยตลอดเว 555 ฮืออ ก็ต้องสู้ต่อไป ยังไม่ยอมแพ้หรอก ถึงแม้จะเหนื่อยมาก และเครียดมาก แต่จริงๆมันก็เป็นงานที่สนุกดีเหมือนกัน ชอบนะ แต่ก็รู้สึกว่าเออ มันกดดันไปหน่อยนึง เดี๋ยวคงชิน ร้านนี้ดีอย่างคือ ให้ชั่วโมงเราชัดเจน พยายามเบียดตารางกับลูกน้องคนอื่นๆให้เราได้ชั่วโมง ถึงจะไม่เยอะขนาดแบบแปดชั่วโมง แต่ก็ค่อนข้างเยอะและเป็นระบบดี เพราะไปดูๆแล้ว พนักงานคนอื่น ชั่วโมงก็โดนลดเหมือนกัน เหมือนกับต้องแบ่งมาให้เราไรงี้ ก็ถือว่าดีแหละ เราก็จะสู้ต่อไป เพื่อให้คนอื่นๆยอมรับให้ได้! (เรื่องเงินนี่เลิกพูดไปเลย ขาดทุนย่อยยับ กินเยอะมากกกเดี๋ยวนี้ ฮ่าๆๆ)




viernes, 25 de marzo de 2011

W&T: First Day in Subway!

Well, I think I keep posting on this blog pretty often ;) But from now on I guess I might not have much time to spare. Coz today I've already started working and I only have one-day-off for this week!

However, I didn't have to do much for my first day. Just watching trainee videos, yeah stuff like that. The first job our manager assigned us was to grab the umbrella which had blown away coz of the strong wind =.= Well, actually we couldn't grab it coz it got stuck on the tree. Hell. P'Aom and I, we are too short, so one of our customers had to help us! What a nice guy! After that, we helped sweeping the floor, moping and washing dishes. We didn't have our uniforms yet so they couldn't let us make sandwiches. We had been watching videos for like three hours. (or maybe four) Then, we had very little time to clean all those dirty things. Moreover, I had a problem with washing stuff =.= Well, just had no idea how to manage it. Luckily, our manager is nice and kind enough to explain us again and again. He said that he doesn't mind to do it coz he just wanted us to know what we are supposed to do or what we are doing at that time. That's all. Nice, huh? I think so. Hope he'd be like this forever!! T_T

Tomorrow we may have to work with customers and vegetables. Excited and worried at the same time. I'm afraid that the customers would kill me! aghh! Gotta go now. It's getting late! I have to wake up around six o'clock and catch the bus at 8.15 am.
Love and miss you all,
xoxoxoxo
aom

jueves, 24 de marzo de 2011

W&T: Working Tomorrow!

โอ้ลัลล้า ~ อาทิตย์นี้ค่อนข้างจะยุ่งอยู่เหมือนกัน มีอะไรต้องทำหลายอย่างเลยหล่ะ อย่างแรกคือไปปฐมนิเทศ จากนั้นก็ย้ายห้อง ไปทำ Social Security Card ไปเจอเมเนเจอร์ แล้วก็เนี่ยจะเริ่มงานพรุ่งนี้แล้ว (ในที่สุด!!)

21st March 2011
วันจันทร์เริ่มจากตื่นเช้าไปปฐมนิเทศเวลาเก้าโมงที่ Festival Bay Mall ได้เจอ Kelly ที่เป็นคนสัมภาษณ์ด้วย น่ารักดีๆๆๆ ก็พี่เอ๋พาไป เป็นซับเวย์สาขามอลล์นั้นซึ่งคนน้อยมาก ก็ประชุมพร้อมกับคนอื่นที่มากับเอเจนซี่อื่นด้วย แล้วเค้าก็ assign สาขาเลย เนื่องจากเป็นกลุ่มสุดท้ายที่เข้าไปคุยกับ District Supervisor ชื่อ Keith เค้าก็ใจดีนะ ให้เลือกได้ แต่ว่าตอนที่เราเข้าไปเค้าต้องการคนมาไปทำที่ใกล้ๆดิสนีย์ แต่คือมันไกลที่พักเรามากๆๆ ก็เลยเอาแผนที่ไปให้เค้าดูบอก เออ เนี่ยอยู่ตรงนี้ เค้าก็ไปคิดซักพักบอกมีสองร้านตรงถนนที่เราอยู่ นั่งรถไปสายเดียว เราก็เลยโอเค ได้ทำกับพี่ออม หมิงทำกับพี่มิ้ม เค้าไม่ให้แฟนทำร้านเดียวกัน ซึ่งก็ดีมากนะสำหรับเรา ไม่งั้นฆ่ากันตาย 555 สรุปคือเราก็เลยได้ที่ทำงานไม่ไกลมาก แต่พี่เหมี่ยวต้องทำที่เอาต์เลทเพราะว่ามีบัตรโซเชียลแล้ว แล้วสาขานั้นต้องการคนพอดี พี่เหมี่ยวเริ่มงานได้เลย ก็เลยได้สาขานั้นไป แอบไกลมากกกก

22nd March 2011
ย้ายห้อง!! เพราะแบบพี่ๆกลุ่มสี่คนจะย้ายไปโรงแรมอื่นที่ใกล้สาขาตัวเองมากกว่า ก็เลยไม่มีคนหาร เลยยุบห้องมาอยู่ห้องพี่ออม พี่มิ้มแล้วก็พี่เหมี่ยว ยัยเจ๊ตรงรีเซปชั่นก็อธิบายเงินอะไรไม่รู้ เราก็แบบ โอ๊ะ ... บ่ฮู้เรื่องเฟร้ย หมิงเลยมารับหน้าที่แทน ก็ย้ายมาวันนั้นเลย สบายดี ราคาก็ถูกลงไปอีก จ่ายคนละประมาณ 63 เหรียญ :D

23rd March 2011
ตอนเช้าไปทำบัตรโซเชี่ยล ก็ตื่นเต้นละ เพราะกลัวฟังไม่ทัน เค้าถามคำถามไรเรื่อยเปื่อย แล้วก็แบบว่ามีบันทึกเสียงด้วย จากนั้นก็ไปหาพี่เหมี่ยวที่สาขา ปรากฏว่าพี่เหมี่ยวได้มาทำที่เคาท์เตอร์ข้างหน้าแล้ว ก็เลยอุดหนุนซะหน่อย เป็นซับเวย์มื้อแรกในอเมริกาเลย ปกติกินแต่ Subway Melt วันนี้เลยลองเมนูใหม่ sweet onion chicken teriyaki ก็ใช้ได้ แต่ subway melt อร่อยกว่านะ จากนั้นก็กลับมาโรงแรม พยายามติดต่อ Keith แล้วก็โทรหาเมเนเจอร์ แล้วไปหาเมเนเจอร์เลย (เอ่อะ~!) คือตอนคุย เค้าก็งงๆ เอ่อะ ถามจะมากี่โมง เราบอก เอ่อ ภายในสิบนาทีนี้ เค้าก็โอเคๆๆ ก็เลยไปหาเมเนเจอร์ทันที ตอนแรกที่เห็นที่เคาท์เตอร์น่ากลัวอ่ะ เสียงเค้าก็ดุๆ แต่พอออกมาคุยกับเรา ก็ดูใจดีนะ ทำตารางเวลาของเราเตรียมไว้เรียบร้อยเลย เรากับพี่ออมเริ่มงานตั้งแต่เก้าโมงถึงสองโมงทุกวัน เริ่มจากพรุ่งนี้ แต่หยุดวันอาทิตย์ พอครบสัปดาห์นึง ก็จะมีการเริ่มเปลี่ยนกะ ให้ทำงานแยกกัน คือพูดง่ายๆ อาทิตย์แรกเป็นการเริ่มฝึกงานนั่นแหละ ก่อนกลับก็ให้ของเค้าไป เค้าก็บอก เอ่อ นี่ติดสินบนเค้าหรอ ไรงี้ ตลกดี ฮ่าๆๆ ลืมบอกไปว่าเค้าชื่อ Terry จากนั้นก็ไปเจอเมเนเจอร์ของพี่มิ้มกับหมิง แอบน่ากลัว ดูเป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรง หน้าตาเหมือนพนักงานธรรมดา 55555 ดูเค้ายุ่งๆเลยคุยไม่นานก็กลับ

ตอนนี้ก็นั่งๆนอนๆในโรงแรมนี่แหละ ไม่ได้ทำอะไร เดี๋ยวไปละ หมิงมาไล่ที่ ฮือๆๆ T-T ตื่นเต้นจังจะได้เริ่มงานแหละ มีความรู้สึกว่างานต้องหนักแน่ๆ เมื่อคืนดูวิดีโอฝึกงานซับเวย์ไปละ พรุ่งนี้ไปดูอีก ก็ดี หวังว่าทุกคนจะใจดีไปตลอดรอดฝั่งนะ ฮือฮือ ~~





martes, 22 de marzo de 2011

W&T: En Orlando, Florida (Español)

Hoy escribo en español! Llegué al Orlando el martes pasado de la noche. Me quedo en un hotel que se llama Extended Stay Hotel y está muy cerca al supermercado. Todavía no empiezo a trabajar pero ya sé con quién y en dónde voy a trabajar.

La gente aquí.... umm algunos son super amigables pero algunos son ... umm no sé. Es que no me gusta mucho. Pero mi amiga que estuvo en EE.UU. una vez dice ... ahh sí así son los americanos jajaja.

Aquí, los colectivos (umm...jajajaja español argentino) se llaman LYNX. Pero la gente no sabe bien la ruta de los colectivos porque casi todo tiene su propio coche. No he ido a Disney Land todavía porque queda bastante lejos de mi hotel! Creo que vaya a empezar a trabajar muy pronto porque mañana voy a hacer Social Security Card (si no lo tengo, no puedo trabajar.)

Pasamos los primeros días en hotel y tomando los colectivos para saber la ruta.

Ah! una cosita! ya salieron mis notas!
saco 3.83 de 4.00 (creo) con 4 A y 2 B+
mejor que otro semestre jeje!
me voy.
Chau,
xoxoxo
aom

lunes, 21 de marzo de 2011

W&T: Almost one week,อยู่ กิน เที่ยว

ผ่านไปเกือบๆสัปดาห์แล้วที่เรามาถึงออแลนโด ก็จะมาสรุปซักนิดว่ากินอยู่อะไรอย่างไร เผื่อทุกคนจะได้เห็นภาพมากขึ้น

อยู่
เป็นโรงแรมแบบที่เรียกว่า Extended Hotel ก็สามารถอยู่ได้นานไรงี้แหละ แล้วในห้องก็จะเป็นสัดส่วนมาก เปิดมาเจอส่วนครัว ซึ่งก็มีตู้เย็น อ่างล้างจาน เครื่องล้างจาน ตู้เก็บของ บลาๆ มีเตาให้ หม้อ กระทะ จาน ช้อน ส้อม มีด เครื่องต้มกาแฟ เครื่องปิ้งขนมปัง ที่ดูดควัน ต่อจากส่วนนั้นก็จะเป็นโต๊ะกินข้าวซึ่งเราใช้เป็นโต๊ะคอมและโต๊ะวางทุกอย่างแทน 555 เสร็จแล้วก็เป็นโซฟาที่เปิดออกมานอนได้เป็นเตียง แล้วก็มีเก้าอี้ปรับเอนนอนได้หน้าทีวี (ซึ่งมีเครื่องเล่นดีวีดีด้วย) จากนั้นก็เป็นเตียงใหญ่ มีโต๊ะข้างเตียงแล้วก็โต๊ะหน้ากระจก เถิบไปหน่อยก็เป็นตู้เสื้อผ้า แล้วก็มีอ่างล้างหน้า ข้างนอกห้องน้ำด้วย ถือว่าสะดวกสบายพอสมควร หารกันสามคนต่อห้องก็ตกประมาณคนละ $13-$14 ต่อวัน (แพงมากก) แต่ก็มีอาหารเช้าฟรี (เป็นมัฟฟิ่น เบเกิ้ล พร้อมครีมชีส และบลาๆกาแฟ น้ำผลไม้ต่างๆ โยเกิร์ต) ซึ่งเรามักจะเอามาตุนกันไว้ในห้องเสมอ ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะย้ายหรือเปล่า เดี๋ยวต้องดูก่อนว่าได้ทำงานสาขาไหน อะไรยังไง

กิน
อาหารการกินสะดวกมาก ข้ามถนนไปเป็นวอลมาร์ท ประหนึ่งโลตัส มีของถูกๆอยู่พอสมควรเหมือนกัน ก็โอเคอ่ะนะ ใช้วิธีซื้อมาทำกินกันเป็นส่วนใหญ่ ก็ไม่แพงมาก เพราะทำได้เยอะ บางทีมีของที่ใกล้จะหมดอายุแล้วมาวางขาย ก็ราคาจะถูกลง ก็จะซื้อไอ่นั่นแหละมากิน (ฮ่าๆ) แมคหรือร้านฟาสต์ฟู้ดที่นี่ราคาอยู่ที่ประมาณชุดละ $7-$8 เหรียญ แพงงง มากกก ฮืออ

เที่ยว
ก็ยังไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนมาก ตอนนี้แค่นั่งรถไปรอบๆ ไปรถเมล์ธรรมดาๆนี่แหละ ชื่อ Lynx คือไปได้แทบทุกที่ในออแลนโด ค่าโดยสารต่อเที่ยวสองเหรียญ ถ้าเป็นตั๋ววันก็สี่จุดห้าเหรียญ อย่างที่บอกว่าคนที่นี่ไม่ค่อยขึ้นรถเมล์ ถามสายรถเมล์ไม่ค่อยรู้หรอก เราเลยใช้วิธี หยิบโบร์ชัวร์ด้านหลังคนขับ ซึ่งจะมีเป็นแต่ละสายเลย บอกว่าสายนี้ไปไหนบ้างพร้อมแผนที่เดินรถ เราเก็บมาเยอะมาก เป็นเจ้าแม่โบร์ชัวร์สายรถเมล์แล้ว แม้แต่ฝรั่งเองก็ยังมาถาม เพราะเราชอบถือไปไหนมาไหนเป็นปึกๆ เค้าจะเข้ามาขอยืม แม่งมีแทบทุกสาย บางคนก็เข้ามาถามทาง เราก็แบบ โว๊ะ เห็นหน้าตากูเป็นคนที่นี้มากเรอะ เหอๆๆ ตอนนี้ก็ไปเอาท์เลตมาทั้งสองที่แล้ว แล้วก็เป็นพวกมอลล์อะไรงี้ มีนั่งรถผ่านไอ้บ้านเอียงกับบ้านกลับหัวเหมือนกัน แต่ยังไม่ได้ลงไปเยี่ยมชม ท่าจะแพง กะจะเดินถ่ายรูปเอา 5555

ก็นี่แหละชีวิตหนึ่งสัปดาห์ ไม่มีอะไรมาก เดี๋ยวพรุ่งนี้มีปฐมนิเทศแล้วเค้าก็อาจจะ assign สาขา ก็ตื่นเต้นนิดหน่อย การดีลกับคนที่นี่มันลำบากจริงๆ เห้อ รู้สึกอึดอัดกับการปฏิบัติตัวของคนที่นี่มากกก เอาเป็นว่าจะสู้ต่อไป หวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี ~

See you soon!
xoxoxo
aom

viernes, 18 de marzo de 2011

W&T: Here, in Orlando

ในที่สุดก็ถึง Orlando แล้วเป็นที่เรียบร้อย ตอนนี้อยู่ที่โรงแรมกับเอมมี่และหมิง เน็ตเครื่องเราต่อไม่ได้อยู่เครื่องเดียวไม่รู้เป็นอะไร T_T สงสัยคอมใกล้หมดสภาพอย่างจริงจังนะเนี่ย ต้องใช้คอมหมิง T,T

JOURNEY BEGINS
เราออกจากไทยตั้งแต่คืนวันจันทร์เวลา 23.50 น. ก็พยายามทำความรู้จักกับคนในกลุ่มไว้บ้างเล็กน้อย ทุกคนเป็นพี่ทั้งนั้นเลยล่ะ (โอสส) ตอนแรกนั่ง JAL มา ก็ยังไม่มีอะไรมาก แต่พอขึ้น AA ถึงได้รู้ว่า JAL นั้นแอร์โฮสเตสบริการดีกว่าประมาณล้านเท่า (เว่อร์สัด 555) ชอบ rice cracker บนเครื่องมาก มาถึงญี่ปุ่นประมาณเช้าๆ นั่งแช่เป็นวัน หลับกลิ้งในสนามบินเป็นสิบชั่วโมงได้มั้ง ถึงได้ต่อเครื่องไปอเมริกา... และแล้วคราวนี้ก็มีเซอร์ไพรส์เล็กน้อย เพราะทุกคนบินไปนิวยอร์กหมดเลย มีแค่เรากับหมิงไปชิคาโก... เราก็คิดว่าเออ อาจจะไปเจอกันที่ไมอามี่แต่เปล่าว่ะ ... คือเค้าต้องอยู่ที่นิวยอร์กกันเป็นวันๆถึงจะต่อเครื่องมาไมอามี่แล้วก็ออแลนโด ก็มาถึงโรงแรมกันประมาณเที่ยงๆได้

สรุปคือก็นั่งมาอเมริกากับหมิงสองคน ไฟลท์ไปชิคาโกนั้นถือว่ายาวนานที่สุด แถมไปถึงอีตม. นะ ต้องต่อแถวยาวมากกกเว่อ กลัวตกเครื่องมาก ไปถึงประมาณสามโมงยี่สิบ Boarding time จากชิคาโกไปไมอามี่เวลาสี่โมงครึ่ง ... คือนะ ตอนสี่โมงยังไม่ได้เข้าตม.เลยโว้ยค่ะ ... หวาดเสียวสุดๆ จากนั้นก็ต้องไปลากกระเป๋าเพื่อจะ transfer ไป Orlando แล้ววิ่งหูตั้งเพื่อไปขึ้นเครื่อง “แต่” แม่ง เหลือเวลาตอนนั้นอีกสิบนาที ไปถามพี่มืดขนกระเป๋าเค้าบอกว่า “You’ve just missed your flight” ห๊า ... อยากจะกรีดร้องออกมา อุตส่าห์รีบมา (สนามบินที่ชิคาโกใหญ่นรกแตกมาก) เค้าบอกให้ไปติดต่อที่พนักงานประจำสายการบิน เรากับหมิงก็เลยไป แล้วป้าแกใจดี๊ ใจดี ลัดคิวให้เราไปสแกนกระเป๋าก่อน แต่แม่ง ไม่ได้ช่วยเท่าไหร่ นรกที่สุด! วิ่งเกือบตายเกทไกลสัดดดมากกกกกกกก ปรากฏไปถึงเกิดการเลื่อนไฟลท์ จากบินห้าโมงเป็นบินห้าโมงสี่สิบห้า boarding time ห้าโมง เท่านั้นไม่พอ เปลี่ยนเครื่องบินและเกทด้วย ...
สรุปคือกูวิ่งมาเพื่อออ? ... ต้องเดินด๊อกแด๊กกลับไปอีกเกทนึงซึ่งไกลมากเช่นกัน (เกือบหอบตาย)
มาถึงไมอามี่อย่างง่วงๆ แล้วก็ต่อเครื่องไปออแลนโด ตอนแรกนึกว่าจะไม่ทันเพราะมันดีเลย์ แต่ปรากฏว่าไม่เป็นไร ถึงทันพอดี

@ORLANDO
ก็มาถึงออแลนโดโดยสวัสดิภาพ แต่แม่งงง พอมารับกระเป๋า กระเป๋าเสือกไม่มีซะงั้น พอพี่เอ๋มารับก็เลยไปที่เคาท์เตอร์ ติดต่อเค้า แล้วเค้าก็แบบเอาออกมาให้ เดาว่ามันคงมาถึงก่อนอ่ะนะ เหอๆ

เสร็จพี่เอ๋กับพี่อู๋ก็เอารถมารับ เพราะแค่สองคนไง แล้วก็มาติดต่อโรงแรม เป็น Extended hotel ก็โอเค หมิงนอนเตียงโซฟาไป ส่วนเราก็จองมุมนึงของเตียงใหญ่ไป เก็บของโน่นนี่นั่น แถมเล่นคอมอีกไปถึงประมาณตีสาม สลบไปเลย นอนสบายมาก
ตื่นมาด้วยเสียงนาฬิกาปลุกซึ่งกวนตีนมากค่า เป็นคล้ายๆกับเสียงวิทยุพูดสเปนกันแต่เช้า (สเปนตามหลอกหลอนมากที่นี่ เหอๆๆ)

FIRST DAY IN ORLANDO
ตื่นมาเริ่มโอเคขึ้น พูดจริงๆ แอบโฮมซิคอยู่หลายรอบมากเลยนะ คือคิดในใจกูกำลังจะไปลำบากของจริงแล้วเว้ยเห้ย ไม่อยากเลยอ่ะ แต่ถ้าไม่ทำ เมื่อไหร่จะโตวะ เมื่อไหร่จะทำอะไรๆได้ด้วยตัวเองซักที (มาที่นี่กุก็ยังคงพึ่งคนอื่นอยู่ค่า) เอาเป็นว่าก็คิดว่าลำบากวันนี้จะได้สบายในวันหน้า คือวันแรกนี้เอมมี่ก็จะมาอยู่ด้วย เราก็แอบกังวล เออ จะอยู่กันได้ไหมนะ อะไรยังไง ปรากฏว่าก็โอเค อีเอมมี่แม่งหลง (อันที่จริง เราโง่เองไปบอกที่อยู่มันผิด ฮ่าๆๆๆ) ก็มาถึงก่อนคนอื่นเล็กน้อย เม้าท์กันซักพัก พอคนอื่นมาปรากฏว่าเค้าอยากจะแชร์เป็นแบบสี่ สาม สอง คือมีกลุ่มที่มาสี่คนไง แล้วเค้าอยากนอนสี่คน เราก็เอ่อะ ทำไงล่ะนี่ ให้หารสองคนไม่ไหวนะคะ ตายห่า ก็ตกลงกันว่าอาทิตย์นี้จะหารกับเอมมี่ไปก่อน แล้วอาทิตย์หน้าค่อยไปหารกับพี่เค้า ก็แล้วแต่ว่าพี่เค้าจะมาอยู่กับเรา หรือจะอยู่กับเพื่อนต่อไปอ่ะนะ เห้อ ...
วันแรกก็ได้ฟังทอล์กโชว์จากเอมมี่ เฮฮากันไปกับพี่ๆสามคน แล้วก็พอพี่ๆคนอื่นขนของออกไปแล้ว (คือเค้าต้องเอาของมาไว้ห้องเราเพราะยังเช็คอินไม่ได้) พี่เอ๋ก็จะไปฟลอริด้ามอลล์พอดี ก็เลยตัดสินใจอ่ะ ติดรถไปด้วย ไปถึงก็หมดตัว 5555 เจอร้าน Sephora เลยสอยรองพื้นของ Make Up Forever มาซะเลยชิ้นนึง จ่ายไป 40 ดอล (แพงเห้ๆๆๆ) เสร็จแล้วไปซูปเปอร์วอลมาร์ทซื้อของมาทำกับข้าว รวมแล้วประมาณ 24 ดอล หารสามเหลือ 8 ดอล แม่งราคาแบบไม่หารยังถูกกว่าซื้อรองพื้นอีกเนี่ย โว้ววว
กลับมาที่โรงแรมก็ทำกับข้าว ทำไก่ทอดน้ำปลากับไก่ทอดพริกไทยดำ ซื้อข้าวมาหุง (จริงๆอย่าเรียกว่าหุงเลย เหอๆๆๆ) อร่อยดีเหมือนกัน กุก้ล้างจานตลอดเวเพราะทำกับข้าวไม่เป็น T-T ตอนดึกก็เล่นคอม ได้คุยกับแม่ด้วย วันแรกก็เลยจบไปอย่างเพลียๆฉะนั้นแล ~

LYNX’S DAY
วันที่สองเริ่มออกไปผจญภัย โดยตัดสินใจนั่งบัสที่ชื่อว่า Lynx ไปตามที่ต่างๆ ตอนแรกจะไปเอาท์เลต ก็ถามพนง.โรงแรมเค้าก็บอกนั่งสายนี้ไปนะ เดี๋ยวก็ถึง ตอนแรกนั่งรอที่ป้ายรถเมล์ไปก็แบบไม่เชื่อ เฮ้ย ขึ้นทางนี้แน่หรอ อาจจะขึ้นทางโน้นก็ได้นะ คิดเอาเองมากกกก เลยข้ามไปขึ้นสาย 37 ฝั่งโน้น พอรถมาก็เย้ๆดีใจ ขึ้นไปปรากฏ เวร ขึ้นผิดจริงๆด้วย ไปลงฟลอริด้ามอลล์ แล้วโดดขึ้นสาย 4 ต่อทันที (คิดอะไรกันอยู่วะ) เพราะเค้าให้ transfer รถฟรีภายในเวลาที่กำหนดก็เลยแบบเอ่อ ขึ้นๆไปเหอะ ปรากฏชิบหาย ไปไหนก็ไม่รู้แหละคราวนี้ รถไปอีกcounty นึงเลยคือ Osceola ไปเมือง Kissimmee ก็ไม่รู้จะลงไหน เลยเออ สุดสายเลยละกัน ไปลงมอลล์แห่งนึงซึ่งร้างมากกกกกก “แต่” อีเอมมี่ เจอฝรั่งมาเสนอตัว ขำมากกกกกกกกก (มันน่าจะเขียนไดอารี่นะ ไปติดตามอ่านของมันแล้วกัน เพื่อรายละเอียดเพิ่มเติม) เค้าบอกเดี๋ยว weekend นี้จะมีรถแล้วนะ เดี๋ยวจะพาไปรู้จักออแลนโด เราแบบ 55555 เออ ก็สบายดีนะ อยู่ที่นี่ถ้าไม่มีรถมันลำบากมากๆๆๆจริงๆ เสร็จแล้วก็นั่งสาย 57 กลับมาลงที่วอลมาร์ท กินเวนดี้ ขึ้นมาแพ็คของแล้วไปต่อ คราวนี้ต้องไป Outlet ให้ได้

เราก็คิดว่าเอองั้นนั่งสาย 37 ไปลงแถวๆ Universal แล้วกัน เพราะในแผนที่มันห่างจากเอาท์เลตแค่เพียงข้ามถนน แถมใกล้ๆเอาท์เลตยังมี subwayที่ต้องไป orientation วันจันทร์นี้ด้วย ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ปรากฏชิบหาย เดินวนแล้ววนอีก ก็เห็นเอาท์เลตอยู่ไกลลิบ เอาวะเนี่ยข้ามถนนนี้ไปก็ถึงละ แต่ชิบหายพอกำลังจะเดินออกฝ่าย security เรียก แว๊กกกกกกกกกกก บอกว่าเนี่ยข้ามไปไม่ได้นะเป็น highway ห้ามข้าม ต้องไปเรียกแท็กซี่ ถามสายรถเมล์ยัยเจ๊นั่นก็ไม่รู้อีก เลยเดินอ้อมกลับไปที่เดิมจะไปขึ้นแท็กซี่ เจอลุง security ขับรถคล้ายๆรถกอล์ฟมา อาสาจะไปส่ง เพิ่งรู้สึกดีกับคนในฟลอริด้าเป็นครั้งแรก พอไปถึงที่ขึ้นบัสกับแท็กซี่ก็เกิดเหตุขึ้นจนได้ ความคิดเห็นเกิดขัดแย้ง อารมณ์นอยกันไปจนถึงโรงแรม สรุปคือก็หาทางไป Festival Bay กับ Outlet เจอในที่สุด แต่ก็นะต้องแลกมากับอารมณ์ไม่ปกติของสมาชิกทั้งสามคน ก็แย่เหมือนกันนะ แต่ก็ได้อะไรหลายๆอย่าง ตอนนี้อารมณ์ทุกคนปกติแล้ว ก็ดีใจจัง T.T ตอนขึ้นรถมีประทับใจคนดำอยู่คนนึง เค้าหน้าตาค่อนข้างน่ากลัวนะ แล้วเรานั่งข้างเค้าไง เอากระเป๋าวางไว้ที่เท้า แล้วมีตอนนึงเค้าขยับตัว มาโดนกระเป๋าเราเค้าบอก Excuse me เราก็มองหน้าเค้าแบบว่า หือ ขอโทษอะไรยังไงทำไม เค้าก็เลยบอก I’m sorry แล้วยิ้มๆแบบขอโทษ เราแบบ โฮๆๆๆ น้ำตาน้ำมูกย้อย ซาบซึ้ง (บ้าไปแล้ว) โดนแค่เนี้ยนะ ไม่ต้องขอโทษก็ได้ เค้ามารยาทดีมากๆ ทำให้เรารู้สึกว่า เออ คนเรามันก็ตัดสินจากหน้าไม่ได้นะ คนดำน่ากลัวก็จริง แต่คนดีๆมีอยู่อีกเยอะมาก บางคนมารยาทดีกว่าคนขาวด้วยซ้ำไป ก็เป็นเรื่องประทับใจเล็กๆในวันนั้น ที่ทำให้รู้สึกดีกับคนที่นี่มากขึ้น เพราะเรารู้สึกไม่ชอบคนที่นี่อย่างจริงจังเลยแหละ อาจจะยังไม่เจอคนดีๆล่ะมั้ง เฮ้ออ


ลสรุปจากประสบการณ์ในสองสามวันนี้
-อยู่ที่นี่ไม่มีรถชิบหายมาก เพราะความเจริญไม่ได้กระจุกตัวอยู่แค่จุดใดจุดหนึ่งของเมือง แต่มันกระจายไปทั่ว แต่ละที่จึงไกลกันมาก ไม่เหมือนที่ไทยที่มีบีทีเอส มีใต้ดินคอยเชื่อม
-คนที่นี่ไม่ค่อยรู้เส้นทางรถเมล์เพราะส่วนใหญ่มีรถขับ ถามใครแม่งไม่มีใครรู้เลยสักคน เพราะฉะนั้นถ้าคิดจะมาหาแฟนที่นี่คงต้องถามก่อนเลยว่า เออ มึงมีรถมั้ยคะ
-คนที่นี่พูดสเปนเยอะมาก มากกกกซะจนเรารู้สึกว่าเออ นี่กูอยู่ละตินอเมริกาหรือเปล่า แม้แต่ช่างซ่อมและแม่บ้านโรงแรม ก็ยังพูดสเปน เราเลยพูดสเปนใส่เค้าไปซะ ปรากฏมีตอนนึง เค้าถามเราเป็นอิ๊ง เราฟังไม่รู้เรื่อง ป้าแกเลยใส่สเปนกลับมา อ้าว กูรู้เรื่อง เอ่อ... อะไรโว้ยเฮ้ย ระบบสมองกู ไม่รับอิ๊งแล้วใช่ไหม
-คนที่นี่พูดจาไม่รู้เรื่อง ... หรือเพราะไม่ชินก็ไม่รู้เหมือนกันแฮะ
-ที่นี่เป็นเมืองที่เดินไม่ได้ทุกซอกทุกมุม เหมือนต้องรู้แน่ชัดว่าเราจะไปที่ไหน ลงยังไง ไม่ใช่กะว่าจะไปลงเอาใกล้ๆเดี๋ยวเดินไปต่อ เพราะบางทีมันทำไม่ได้ มันเดินไม่ได้
-เอาจริงๆชักกลัวแล้วว่า พอไปทำงานจะรอดมั้ย เพราะเรารู้สึกลบกับคนที่นี่มากกว่าบวกอ่ะ เหอๆๆๆ เห็นด้วยกับพิมนะที่บอกว่าคนอาเจนเฟรนด์ลี่รองจากคนไทย อันที่จริงเราคิดว่าส่วนมากอเมริกาใต้ทุกคนเฟรนด์ลี่แทบจะทั้งนั้น บางทีการอยู่ในสังคมแบบนั้นมากไป ทำให้เราคาดหวังเหมือนกันว่าสังคมนี้จะต้องเป็นแบบนั้นด้วย เห้อออ

Gotta go. More photos will be uploaded soon. Please check out my facebook.
Love you guys,
have a good day
xoxoxo
aom

miércoles, 9 de marzo de 2011

W&T: Getting Started!

ฮี่ๆ เปิดตัวแล้ว สำหรับการเขียนไดอารี่ฉบับมาราธอนว่าด้วยเรื่อง "WORK AND TRAVEL" ว่างจริงๆ ว่างจัด กระเป๋าและของกองพะเนินยังไม่ได้แตะต้องเลยค่าาา!! แต่ก็เอาเถอะ ถ้าไม่เริ่มเขียนมันก็คงไม่ได้เขียนจริงๆจังๆซักทีสินะ

เวิร์คแอนด์ทราเวล มีชื่อเสียงและชื่อเสียมากพอสมควรในแวดวงของเด็กมหาลัย หลายคนก็ไม่นิยมนัก มองว่าเป็นโครงการจัดแรงงานเด็กไทยส่งไปอเมริกาดีๆนี่เอง ... ส่วนตัวเราแล้วก็คิดยังงั้นแหละ ไม่คิดว่าเป็นโครงการที่สวยหรูอะไรนัก แต่เหตุผลที่เราเลือกไปอเมริกาคือ ... เราคลาดกับประเทศนี้มาหลายทีแล้ว และก็มีหลายอย่างที่ไม่ประทับใจนักกับความเป็น "อเมริกัน" เลยอยากจะไปสัมผัสดูสักครั้งว่าไอ้ประเทศที่รู้จักมาแต่เล็กแต่น้อยนั้น มันเป็นอย่างที่เราคิดไว้หรือเปล่า ก็เตรียมใจไว้แล้วนะกับการถูกเหยียดเรื่องเชื้อชาติ สีผิวอะไรทั้งหลาย แต่ก็คิดว่าเมืองที่ไปก็อยู่ในรัฐที่พวกละตินเยอะ นักท่องเที่ยวก็แยะ อาจจะไม่โดนอะไรมาก(มั้ง) แต่โดนก็ไม่เป็นไรนะ ดีจะได้ประกาศให้โลกรู้ไปเลยว่า ประเทศผู้นำซึ่งภาคภูมิใจในความเท่าเทียมและอิสรภาพนั้นจริงๆแล้วเป็นยังไง!!!

นี่เป็นจุดเริ่มต้นล่ะนะ :D ก็แค่เริ่มจากความอยากไปก็เท่านั้นเอง
มีหลายคนบอกเหมือนกันว่าไม่ดีหรอก เงินก็ไม่ได้เยอะ ไม่คุ้ม อืมม... จริงๆวัดจากอะไรล่ะว่าคุ้มหรือไมุ่คุ้ม
ถ้าคิดแค่เรื่องเงินมันจะไปคุ้มได้ยังไงวะคะ ไม่เข้าใจ
ประสบการณ์ไม่ว่าจะดีหรือร้ายสอนให้เราเข้มแข็งและก้าวไปข้างหน้าได้เสมอ
เราเลยรู้สึกว่ามันไม่มีอะไรที่ไม่คุ้มสำหรับชีวิตนี้อ่ะ
คิดตื้นๆก็ได้อะไรแค่ตื้นๆไปละกัน (คือแบบ หมั่นไส้อีตาคนที่พูดกับเราตอนนั้นมากกก เกลียดมานน ไอ้มนุษย์์หัวขี้เลื่อย คิดแต่เรื่องผลประโยชน์ สมน้ำหน้า!)

ก็จะพยายามเข้มแข็งแล้วกันนะ ... สู้ต่อไปนะออมนะ

Agency: Thai Kool World
Job: Subway, Orlando, Florida

martes, 8 de marzo de 2011

Youtube!!!

เสียใจมาก เพราะแอคเค้าท์เก่าที่ใช้ประจำแม่งงงง เจ๊ง!!! เข้าได้แต่อีกอันนึง แล้วพอเราไปปิดอันที่เราไม่ต้องการ ปรากฏว่ากลายเป็นอันที่ใช้ประจำหายไปด้วย เสียใจขั้นโคม่าาา ต้องมาตาม subscribe ใหม่ ฮืออออออออออออออออออออออออออ แต่คิดแง่ดี จะได้เคลียร์อันที่เราไม่ได้ดูจริงๆทิ้งไปด้วย ฮืออออออออออออออออออออ

sábado, 5 de marzo de 2011

Shopping@ JJ. Market

I'm having a busy week again with parties, meetings and shopping. I went to JJ. Market today with my bf :) We wanted something for ppl we're going to meet in the US. However, I ended up with clothes, nail polishes and shoes haha.
Here they are
v
v
v
v


100 Baht = $3.2


20 Baht = $0.5-$0.6



10 Baht = $0.25 - $0.3


260 Baht = $8.5




2 for 100 Baht = $3.2


20 Baht each = $0.5-$0.6