viernes, 6 de mayo de 2011

W&T: อีกเดือนนึงจะกลับแล้ว ~

สวัสดี !!!! ยังอยู่ดีนะ แต่ว่าอาทิตย์ที่แล้วแบบว่ายุ่งนิดหน่อย ได้ชั่วโมงเพิ่มขึ้นแต่ ดันทำตั๋วรถเมล์ราคา $50 หาย ฮือออ ที่ทำงานมาก็เลยต้องเอาไปจ่ายอีค่าตั๋วนี่แหละ อาทิตย์ที่แล้วได้เกือบ 40 ชั่วโมง แต่็ก็ยังคงจนอยู่วันยังค่ำ ตอนนี้เงินในธนาคารไม่ค่อยจะเหลือเลยอ่ะ ต้องงดซื้อของไม่จำเป็นชั่วคราว เอาไว้เช็คคราวหน้าออก ค่อยเริ่มซื้อใหม่ (และเริ่มเที่ยว)

ชีวิตการทำงานอาทิตย์ที่แล้วไปทำที่ Outlet มาวันนึงและที่ห้าง Festival Bay วันนึง ... เป็นสองห้างที่ต่างกันสุดขั้วมากค่าาาา เพิ่งได้ใช้สเปนจริงๆจังๆก็ที่ Outlet นี่ล่ะ ลูกค้ามาแต่ละคนถามก่อน พูดสเปนได้ไหม ได้ไหม ได้ไหม บางคนถามเป็นสเปนเลย 555 คนเยอะมากวันนั้น แล้วอยู่ปิดร้านกับพี่ออม พี่ส้มโอ อยู่กันสามคนอ่ะ เป็นสามคนที่มาแทนเพื่อนๆคนไทยที่จะไปดิสนีย์ คือ เบลอๆ เอ๋อๆมาก เพราะไม่มีใครเคยทำงานที่นี่เลย ตอนแรกกะว่าเออ ปิดร้านห้าทุ่ม ช่วยกันสามคนคงเสร็จภายในห้าครึ่ง ปรากฏ.... ล่อไปตีหนึ่ง 555 ตกรถเมล์เลยอ่ะ รถเมล์หมดห้าครึ่งพอดี เลยเดินไปที่โรงแรมพี่ส้มโอเพราใกล้ที่สุด เรานั่งรอในล็อบบี้จนเกือบหกโมงเช้า แล้วนั่งรถเมล์กลับโรงแรมตัวเอง ทรหดมากค่ะ ชีวิต =.= แล้วเช้านั้นยังต้องไปทำงานต่อตอนประมาณสิบเอ็ดโมง ก็หลับไปสองชั่วโมงได้ แล้วก็ไปทำงานอย่างเบลอๆ 555 ส่วนอีกวันนึงไปทำที่ Festival Bay ด้วยความกรุณาของเจ๊เดวิดที่เห็นเราต้องการชั่วโมง ... เหอๆๆๆ ก็ได้มาห้าชั่วโมง แต่ร้านนั้นคนไม่ค่อยจะมี ไปก็ไม่ได้ทำไรเท่าไหร่ เหมือนไปชิวๆและกินของฟรี 5555 เสร็จก็กลับ

อาทิตย์นี้ตารางก็ชั่วโมงยังได้เท่าเดิม ลุงเมเนเจอร์คงคิดว่าเราทำที่อื่นด้วย เลยให้ชั่วโมงแค่นั้น แต่เราก็บอกเค้าไปละนะว่าแบบ เห้ย ชอบทำงานที่นี่มากกว่านะ T^T แล้วปรากฏว่าเมื่อวาน ลุงแกเบลออีท่าไหนไม่รู้ ลืมจัดตารางให้มีคนปิดร้าน 55555555555555 ขำอ่ะ แล้วคือเมื่อวานเราเลิกสี่โมง ก็ไปร้านหมิง ไปธนาคาร ไปวอลมาร์ท กลับมาประมาณทุ่มกว่าๆได้ ก็เล่นคอมไป สักพักเจ๊เดวิดโทรมา นี่มาปิดร้าน (ของเราเอง) ให้หน่อยได้ไหม เดี๋ยวไปรับไปส่ง ตอนนี้จูเลียส (สุดที่รักของเจ๊แก ... ติดตามอ่านได้จากตอนที่แล้ว) ทำอยู่คนเดียว เจสันไม่มาสักที ... อ่ะนะ ก็มันจะมายังไงล่ะ เพราะตอนกลางวัน เหมือนพอเราบอกว่าไม่มีคนปิดร้าน ลุงแกก็โทรไปหาเจสัน ... แล้วเหมือนเจสันคงไม่รับ ลุงเลยฝากข้อความไว้ ... แล้วลัลล้าของลุงแกต่อไป ไม่รู้สรุปพี่สันของเราแกเปิดเช็คข้อความหรือเปล่า ก็เลยไม่มีคนปิดร้าน ฮาสัด 5555555555 แล้วพี่จูของเราก็คงจะไม่ไหว เลยโทรไปโวยกับเจ๊ เจ๊แกเลยจัดการให้เสร็จสรรพ เรากับพี่ออมเลยต้องไปปิดร้านอย่างงงๆ ไปถึงคนก็ไม่มีเท่าไหร่ โล่งๆ แต่รู้ว่าก่อนหน้านี้คนเยอะชัวร์ เพราะคนที่รักสะอาดอย่างพี่จูยังทิ้งขยะเกลื่อน (แต่ก็ยังถือว่าสะอาดมากในความคิดเรา) จานกองเต็ม เราก็ไม่ได้ทำไรมากหรอก สต็อกของ เก็บกวาดอะไรกันไป สุดท้ายพี่จูก็มารับ (คงกลับบ้านไปอาบน้ำ) แล้วก็มาเก็บเงิน ถูพื้น เช็ดไลน์ ... เราแบ่บ โอ๊ย แล้วมึงจะกลับบ้านทำไมค้ะ ไม่อยู่ช่วยกันจนเสร็จเลยล่ะ =.= แต่ก็เข้าใจอารมณ์มันนะ อยู่คนเดียวช่วงยุ่งๆด้วยอ่ะ น่าสงสาร T.T (สงสารพี่เจสันด้วย ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ว่าถูกชาวบ้านเทคชิปพี่แกไปแล้ว 5555) ก็ขำๆ ไม่มีไรมาก เงินก็ไม่มี ยังคงจนเช่นเดิมเลยเรา ฮ่าๆ แต่ก็มีความสุข สนุก สบายดี คิดถึงไทย คิดถึงช่วงเวลาเรียนอะไรงี้เหมือนกันนะ แต่อยู่นี่ได้อะไรมาง่ายดายจริงๆ มีงาน มีเงิน มีเวลาช้อปของที่อยู่ไทยไม่เคยเฉียดไปใกล้ ก็ดี แต่ก็ไม่รู้สิ ยังมีของที่อยากได้แต่ยังไม่ได้เยอะเลย 55555555 ไว้ไปซื้ออะไรจะเอามารีวิวอีกนะ ช่วงนี้เงินช็อต แล้วจะอัพเดทชีวิตเรื่อยๆ ...

อ้ออออออ ! ลืมไปอย่างนึง
ไปดาวน์ทาวน์มาด้วยแหละ ก็สวยดี เพิ่งรู้สึกว่าเห้ย เราอยู่เมืองนอกแล้วว่ะก็ตอนนั้น 555 มีห้องสมุดใหญ่มากกก อยากเข้ามากกกก ได้ไปกินอาหารไทยมาด้วย จานใหญ่โตมาก ก็อร่อยดีสำหรับเรา เสียไปเกือบสามสิบดอลต่อคน แต่ก็คุ้มนะ มันอิ่มมากกกกกก จริงๆ ฮ่าๆ ไว้ไปเที่ยวที่ไหนจะมาเล่าต่อละกัน :)

miss you all,
xoxoxo
aom

jueves, 21 de abril de 2011

Review: MY FIRST "MAC" (Thai Version)

แทม แท๊มมม วันนี้ขอมารีวิวกันเป็นภาษาไทยบ้าง เกี่ยวกับ "MAC" ฮิฮิ หลายคนก็รู้อ่ะนะว่าเราอยู่ไทย ไม่เค๊ย ไม่เคยเฉียดไปใกล้เคาท์เตอร์ของแมคมาก่อน (แต่อยู่นี่เรอะ... 55 คนละเรื่อง) เนื่องจากแมคเป็นที่นิยมมากๆๆๆๆๆๆ ในหมู่สาวๆ ใครดูพี่โมเมทางยูทู้ปก็จะเห็นว่ามีเครื่องสำอางแมคหลายตัวที่พี่เค้าใช้ เราก็เพิ่งมาดูพี่โมเมหลังๆนี่เอง :D ปกติดูแต่ฝรั่ง ซึ่งพอดูคอลเลคชั่นของฝรั่งก็พบว่ากว่าครึ่งนึงเป็น MAC แทบทั้งสิ้น ไอ้เราก็ตะขิดตะขวงใจ เฮอะ มันดียังไง ... พอไปเปิดเวปดูก็พบกับสีละลานตา ก็เลยนั่งเล่นนั่งเลือกอยู่สักพักจนกระทั่งได้ฤกษ์ไปบุก MAC ถึงสามครั้ง (แต่ได้ของมาแค่สองครั้งหลังเท่านั้นนะ) เรางบน้อย วันนี้ก็ขอรีวิวเท่าที่มีก่อนแล้วกันนะ วันหลังจะมาต่อ ฮิฮิ

  • MAC Prep+Prime Skin Refined Zone ($19.5)

ขวดเล็กจิ๋ว เวลาจะบีบใช้ทีก็ต้องค่อยๆๆๆๆๆๆบีบออกมา แล้วแปะลงไปตรงบริเวณที่เป็นสิว ของเราคือตรงกรอบหน้า ตอนใช้ครั้งแรกรู้สึกว่าเอ่อะ ไม่เห็นจะต่างตรงไหนเลยวุ้ย เสียเงินไปฟรีๆอีกละ แต่ปรากฏพอลูบๆดู มันเนียนมาก พอเราลองทารองพื้นตามไปก็เอ่อะ ... ไม่ได้กลบหมดนะ ยังเหลือรอยอยู่ แต่มันทำให้ดูเนียนขึ้นจริงๆ ดูเป็นธรรมชาติดี (เราไม่ต้องการให้หน้าเราแบบสวยใสไร้สิวไปเลยอ่ะ คือไม่อยากได้ขั้น full-coverage อะไรขนาดนั้น)
ความพึงพอใจ: 8.5/10 ถือว่าพอใจในระดับหนึ่ง
ความคุ้มค่าราคา: 7/10 เราว่ามันแพงไปหน่อย ถึงแม้จะใช้ไม่เยอะก็เหอะ ก็ยังรู้สึกว่าแพงอยู่ดีเมื่อเทียบกับขนาด ฮืออ
กลิ่น: ปกติ ไม่รู้จะให้คะแนนยังไง
เนื้อผลิตภัณฑ์: เป็นคล้ายๆโลชั่น สีขาวๆ ค่อนข้างจะเหลวนะ (คือก็ไม่ใช่ครีมอ่ะ)
เรามีรูปตอนทาแล้วให้ดูด้วย แต่แหม ... ไม่ค่อยภาคภูมิใจจะโชว์เล้ย สิวเพียบ T^T



รูปแรกคือหน้าตาออรินัลของเรา // รูปสองคือทาแค่รองพื้น // รูปที่สามจะเห็นว่ามันเนียนขึ้นเล็กน้อยเพราะทา primer ตัวนี้แล้วและก็ทารองพื้น*แล้วด้วย // รูปที่สี่อันนี้ก็เป็นรูปซูมตอนทาแล้วทั้งprimerและรองพื้น แบบใกล้ๆ จะเห็นว่าสิวก็ยังคงอยู่เช่นเดิม แต่ว่ามันเนียนขึ้นนิดนึง
สรุปแล้วเราก็โอเคกับอันนี้นะ แต่ถ้าถามว่าจะซื้อต่อมั้ย อันนี้ต้องขอเวลาคิดอีกที

*ps. เราใช้รองพื้นของ Make Up Forever HD Foundation นะ เฉด 153

  • MAC Eye Shadow: Coppering ($14.50)


เป็นที่รู้กันว่าอายแชโดว์ของแมคนั้นเป็นที่นิยมมากพอสมควร เราไปครั้งแรกละลานตามาก เลือกไม่ถูกจริงๆ โอ้มายก็อด ขนาดดูๆมาก่อนแล้วนะ แต่ก็ไม่วายเลือกหยิบจับอะไรไม่ถูกอยู่ดี สุดท้ายก็เลือกสีนี้มาเป็นสีแรก คือสี coppering เป็นสีทองแดง (เคยอัพรูปลงเฟสไปแล้วนะ) ที่เห็นในรูปสีจะจางๆไปหน่อยนะ จริงๆแล้วสีเข้มพอสมควร ออกสีส้มๆแดงๆ สวยดี ตัวอายแชโดว์ตัวนี้จะเป็นเนื้อแบบ Veluxe Pearl ในความคิดเรามันจะออกแนวเมทัลลิกเล็กๆ มีเลื่อมๆหน่อยสำหรับตัวนี้นะ
โดยรวมก็ถือว่าชอบนะ สามารถใช้ได้หลายลุคดี แต่เราทาออกมาแล้วทำไมไม่รู้มันดูเป็นสีชมพูนิดๆด้วย ตลกดีอ่ะ 555 สำหรับเราสีมันโดดไปนิดนึง แต่ก็พอไหว
ความพึงพอใจ: 8.5/10 ค่อนข้างโอเค แต่อย่างที่บอก เราทามันดูชมพูๆโดดๆพิกลๆ
ความแน่นของสี: 9/10 สีสดดีนะเวลาทา
ความคุ้มค่าราคา: 9.5/10 เราว่าคุ้มนะ ถึงแม้จะดูเล็กไปหน่อย แต่ถ้าเทียบกับคุณภาพแล้ว ราคาก็สมน้ำสมเนื้อกันอ่ะแหละ
การ match สี: 8/10 เราว่ามันอาจจะแมทช์กับเสื้อผ้าง่ายนะ แต่จะแมทช์กับสีอื่นเราไม่รู้จริงๆ เพราะมีอายแชโดว์มาลองไม่พอ เดี๋ยวต้องไปซื้อเพิ่ม 5555 (หาเรื่อง)
ความยากง่ายในการทา: 9/10 เนื่องจากสีมันแน่น มันก็เลยทาค่อนข้างง่าย สำหรับเราโอเค ไม่มีปัญหาเรื่องทา

  • MAC Eye Shadow: Trax ($14.50)

อันนี้เป็นสีม่วงๆ มีชิมเมอร์สีทองเล็กๆ ปกติแล้วเราไม่ซื้ออายแชโดว์สีื่อื่นใดนอกเหนือจากพวกส้ม ทอง น้ำตาลเลย เพราะคิดว่าไม่เหมาะกับตัวเองเท่าไหร่ เนื่องจากเป็นคนผิวคล้ำ แต่หมิงชี้บอกเอาสีนี้สิ เราก็เลยอ่ะๆ หยิบมา บุรุษผู้นี้มีเซ้นส์เรื่องของสีมากกว่าเรายิ่งนัก :D ตอนแรกเราก็คิดว่าโอ๊ยเวรกำ แล้วซื้อมาจะใช้กับอายแชโดว์สีอะไร จะทายังไง นี่สีม่วงเลยนะ ไม่เคยคิดจะแตะต้องอายแชโดว์สีม่วงมาก่อน โอ๊ย กรี๊ดด ~ แต่สุดท้ายก็ทากับสี coppering นั่นแล ~ ใช้ทาตรงบริเวณ outer corner ... (มันคืออะไรในภาษาไทยน่ะ เรียกไม่ถูก หางตาหรอ??) แล้วก็ใช้ทาชิดขนตา ช่วยฉุดสี coppering ไม่ให้โดด (แต่ฉุดไม่ค่อยอยู่นะ เหอๆ) เนื่องจากมันมีชิมเมอร์สีทองไงเลยทำให้พอจะไปกันได้กับสี coppering
ความพึงพอใจ: 9/10 จริงๆเรายังไม่เคยทามันโดดๆเลย ไม่รู้จะใส่เสื้อผ้าอะไรอย่างไร เหอๆ ไม่เคยทาสีม่วง แง้ แต่เราชอบอ่ะ โดยรวมแล้ว
ความแน่นของสี: 7.5/10 เราว่าพอทาแล้วมันไม่ค่อยเข้ม (คือมัน supposed to be like that ล่ะมั้ง) เนื้อสีไม่ค่อยแน่นเท่าที่ควร อาจจะเป็นเำพราะมันเป็นเนื้อ velvet อ่ะ สีเลยซอฟต์ๆ เราลองไปอ่านดูว่าเนื้อ velvet เป็นยังไง เค้าก็บอกมันจะซอฟต์กว่าที่เห็น อืม ซึ่งมันก็จริง แต่บางทีเราก็คิดว่า เออ ซอฟต์ไปมั้ย =.= ทายากเหมือนกันนะ
ความคุ้มค่าราคา: 8.5/10 ถือว่าโอเค คุ้มแหละ อย่างที่บอกว่าอายแชโดว์แมคเค้าดีจริง แต่อันนี้รู้สึกมันซอฟต์ไปหน่อย
การแมทช์สี: เนื่องจากมันฟุ้งๆ จางๆ มันจึงแมทช์กับอายแชโดว์สีอื่นได้ค่อนข้างง่าย ในความคิดของเรา แต่การที่จะดึงให้สีมันเด่นออกมานั้น ยากจริงๆ ส่วนเรื่องแมทช์กับเสื้อผ้า อันนี้ไม่รู้ แต่ก็คิดว่าไม่น่ามีปัญหา (จริงๆคือเราแต่งตัวไม่เก่ง 555)
ความยากง่ายในการทา: 7/10 คือมันก็ apply ไม่ได้ยากอะไรหรอก แต่จะ build สีให้สวย ดึงสีให้เด่นเราว่ายากอ่ะ บางทีทาไปไม่ค่อยเห็นอะไรเลย ต้องทาซ้ำๆหน่อย

  • MAC Blush: Peaches ($19.50)
จริงๆตอนยืน swatch สีอยู่คนเดียว ไม่ได้เห็นสีนี้ในสายตาหรอก เลือกสีเข้มกว่านี้ซะเยอะ ตอนแรกก็ชั่งใจว่าจะเอาเนื้อ matte หรือแบบมีชิมเมอร์ด้วยดี แต่ก็ตัดสินใจเอาแมทดีกว่า สีนี้จะออกส้มอ่อนๆผสมชมพูเล็กๆ สีพีชนั่นแหละมั้ง ฮ่าๆ ทาออกมาแล้วสวยดีนะ เหมาะกับลุคใสๆ เป็นธรรมชาติ เราว่าเข้าได้กับทุกสีผิว

จริงๆสีนี้พนักงานเลือกให้ เราก็แบบ เออ เอาเลย (เชื่อคนง่ายมากก) ก็ทาแล้วสำหรับเรายังอ่อนไปนิดนึง 555 แต่มันแลดูเป็นบลัชทุกโอกาสดีอ่ะ ใช้ได้หลายงาน ก็เลยซื้อมา เป็นบลัชแมคอันแรกของเราเลย หุหุ ดูสีชัดๆจากนิ้วเราได้



ความพึงพอใจ: 8/10 ก็ถือว่าโอเค ซื้อมาไม่ผิดหวังอะไร แต่ถ้าเทียบกับอายแชโดว์แล้ว เราชอบอายแชโดว์มากกว่านิดนึง
ความคุ้มค่าราคา: 8/10 ก็ถือว่าคุ้ม แต่เราแอบคิดว่า nars น่าจะมีบลัชที่สวยกว่า เหมือนกับมาเป็นเซ็ตอ่ะ อายแชโดว์ต้องแมค บลัชต้องนาร์ส (stereotype มาก 555) แต่ยังไม่ได้ซื้อของนาร์สมาลอง เลยยังเปรียบเทียบไม่ได้ จริงๆเราไม่ค่อยมีบลัชเป็นของตัวเองจริงๆจังๆเท่าไหร่
ความแน่นของสี: 8.5/10 ในรูปอาจจะไม่ค่อยเข้ม แต่จริงๆก็โอเค (แต่เราชอบเข้มกว่านี้นิดนึง) ไม่ได้ซีดจางมากนัก
ความยากง่ายในการทา: 9/10 เบลนด์ไม่ยาก สวย เก๋ ดูมีเลือดฝาด เป็นธรรมชาติ

จบคอลเลกชั่นเล็กๆของแมคแต่เพียงเท่านี้แหละ แต่จริงๆ เราตั้งใจจะซื้อลิปอีก แล้วก็พวก Mineralize ทั้งหลายแหล่ ก็หวังว่าจะไม่จนกินแกลบเมื่อถึงตอนนั้น (เร็วๆนี้คาดว่าจะไปสอยอายแชโดว์มาอีกหนึ่งหรือสองและอาจจะลิปด้วย อ๊ายย)

Make-up is fun,
xoxo
aom

martes, 19 de abril de 2011

W&T: ตัวละครลับ ^^

ผ่านการทำงานไปแล้วประมาณสามอาทิตย์ มาอยู่อเมริกาได้เดือนนึงแล้ว เร็วมากกก !! การทำงานก็เรื่อยๆ แอบเครียดทุกวันเหมือนเดิม แต่ก็เริ่มชินแล้ว อาทิตย์ที่ผ่านมาอยู่เย็นทุกวันเลย เย็นไม่พอ ยังต้องอยู่คนเดียวอีก (ว๊ากกก) แต่เหมือนไปร้องเรียนกับเมเนเจอร์มา บอกว่า ม่ายยยไหววแล้ว ไม่อยากเดิน มันมืดนะ เขียนเป็นโน้ตแปะบอร์ดไว้ เค้าก็เลยเพิ่งรู้ว่า เอ่อะ เราต้องเดินกลับบ้าน 555 มีวันนึงต้องปิดร้านคนเดียว เค้าก็เลยมารับเอง วันที่เหลือก็เดินบ้าง มีเพื่อนที่ทำงานผลัดเปลี่ยนมาส่งบ้าง เช่น เจสสิก้า หรืออย่างเมื่อวานก็โจซู (ส่งตรงมาจากร้านหมิง 55) หรือบางทีก็ "เจ๊เดวิด" มารับ 55555

โพสนี้เลยตั้งใจว่าจะมาแนะนำคนอื่นๆให้รู้จักกันอีกสักหน่อย เพราะเริ่มมีตัวละครลับโผล่ขึ้นมาเรื่อยๆ
คนแรกคือ "โจซูำ" อย่างที่บอกว่าส่งตรงมาจากร้านหมิง ฮิฮิ จริงๆชื่อเค้าต้องออกเสียงว่า "โฆซูเอ" แบบสเปนน่ะ แต่เพื่อความง่ายเราก็เลยเรียกเค้าพี่ซู ฮ่าๆ จริงๆอายุเท่าเรานั่นแหละ ก็ไม่ได้ไปรู้จักมักจี่อะไรกับเค้า แต่ว่าบังเอิญเมื่อวาน ทุกคนมารวมตัวกันที่ร้านเรา เราเลิกคนสุดท้าย หกโมงเย็น เลยขอโจซูมารับ เอ่อะะ พอเค้ามารับก็เลยทำมาม่าให้กิน เห็นว่าชอบกินอาหารรสจัด หึหึ ก็มีนั่งคุยกันบ้าง แล้วเค้าก็พาไปดูมอลล์ีอีกที่นึง แล้วก็พาพวกเราไปบ้านด้วย (เพราะหมิงเสนอ 555) คือ เค้าเพิ่งย้ายบ้านใหม่ ย้ายไปอยู่กับเพื่อน ก็ไปดู เออ บ้านนี้ต๊องทั้งบ้าน เพื่อนเค้ามีเคยไปเป็นทหารรบที่อัฟกานิสถาน มีเพื่อนที่ทำงานที่ซับเวย์ด้วยกันอยู่ด้วย มีห้องดนตรี เก๋มาก เพราะตั้งวงดนตรีกันเอง 555 เค้าบอกว่าคืนก่อนว่าจะชวนมาปาร์ตี้ด้วยแล้วหล่ะ แต่ดันเมาซะก่อน เลยลืม 5555 ก็เป็นคนดีแบบมึนๆนะ แม้หน้าตาจะแอบน่ากลัวเล็กๆ

คนต่อมาคือ เจสัน
อันนี้ปกติเป็นคนปิดร้าน พอเราได้มาทำกะเย็นก็เลยได้เจอเค้า (อาทิตย์นี้เจอหลายวันเลย) ก็แบบ เงียบ == เป็นคนเงียบ ไม่สนใจอะไรเท่าไหร่ เพื่อนเยอะ ชอบมีเพื่อนมาที่ร้านประจำ แต่พอเราลองคุยก็เป็นคนใช้ได้นะ อาจจะแบบไม่ช่างพูดอะไรนัก แต่ก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร แถมเพื่อนเค้าก็ยังพูดจาดีด้วย (คิดสภาพเพื่อนเป็นพังค์ๆ หน่อย เจาะเยอะมาก หัวฟูๆ 555) ก็เป็นมือกลองให้วงโจซูอ่ะแหละ คนทำงานซับเวย์นี่รู้จักกันหมดจริงๆนะ เป็นครอบครัวซับเวย์สุด 555

ต่อมาคือ เจ๊เดวิด
อันนี้เป็นเมเนเจอร์อยู่สาขาเฟสติวัลเบย์ ไม่ได้รู้จักมักจี่อะไรมากนัก แต่เจ๊แกมักจะโผล่มาได้จังหวะ รับเรากลับบ้านพอดิบพอดี เค้ารู้จักหมิงกับพี่มิ้มเพราะเคยไปเที่ยวด้วยกัน แล้วคือบ้านเจ๊แกอยู่ใกล้ร้านเรา วันที่เราปิดร้านเจ๊แกก็เป็นคนเอากุญแจอะไรงี้มาให้แล้วก็รับเรากลับด้วย พอว่างๆก็มีเข้ามากดโซดา โค้กเคิ้กกินฟรี 5555 วันนี้เพิ่งจิ๊กคุกกี้ร้านเราไปซะเยอะ ก็เป็นคนตลก เฮฮาดี ชอบร้องเพลงมารายห์ แครี่ อ้อ... ลืมบอกไป เจ๊แกเป็นตุ๊ดน่ะ แต่เป็นตุ๊ดที่น่าีรักจริงๆ 5555

สุดท้ายละเท่าที่พบเจอตอนนี้คือ จูเลียส
ตอนแรกก็ดูท่าทางเงียบๆ ไม่คุยกับเราเท่าไหร่ พอได้ทำงานเราก็แบบ โอ๊ย จะทำได้ไหมกับผู้ชายคนนี้ ... แต่เค้าก็ชอบเปิดประเด็นนะ แล้วเราก็เลยชวนคุยได้เรื่อยๆ นิสัยขี้โม้นิดๆ 55 แต่ก็ตลกดี แรกๆเจอดูเก๊ก แต่จริงๆติ๊งต๊องมากกกก ทำงานเร็ว แรกๆไม่ให้เราไปช่วยหน้าร้านเลย (เพราะปกติทำคนเดียวไงเลยชิน) หลังๆก็ให้เราออกไปทำ พอลูกค้ามาถามอะไรเกี่ยวกับเรา ก็โม้ใหญ่ เี่นี่ยมาใหม่ ทำงานดีนะ ผมชอบทำงานกับเธอมาก ขี้โม้จริง 555 แต่ก็มีวันนึง มันปวดฟัน อารมณ์บ่จอยทั้งวัน แบบเราก็ล้างจานปกติ มันเห็นคงรำคาญมาสอนเราล้างจานใหม่ บอกแบบนี้ไม่ได้นะ บลาๆๆๆ เราก็ก่อนกลับวันนั้นก็ขอโทษไปนะ เผื่อทำอะไรให้หงุดหงิดกว่าเดิม มันก็งง ... หือ? ขอโทษอะไร ไม่ได้โมโหอะไรนะ โมโหไปเรื่อยเปื่อย อารมณ์บ่จอย ปวดฟัน มันบอกชอบทำงานกับเรานะ เราก็อืมๆ จ้ะๆ คิดในใจ ใช่ซี้ กูไม่ได้อู้งานเหมือนชาวบ้านนี่คะ ;p มันเคยมาถามด้วยนะ ชอบทำงานที่นี่มั้ย เราก็บอก อืม ก็ชอบนะ มันก็บอกงั้นมาตกลงกันมั้ย เราแต่งงานกันเถอะ ออมจะได้อยู่ที่นี่ไปตลอดไม่ต้องกลับ ... เราแบบ ... 55555555 ขำ .... คิดในใจ ภรรยาเธอละคะ 55555
อ้อ... ลืมบอกไป

จูเลียสเป็นแฟนเจ๊เดวิดน่ะ 55555555


ก็มีแต่เพียงเท่านี้ เดี๋ยวคงมีตัวละครลับโผล่มาเรื่อยๆ วันหลังมาเขียนนินทาลูกค้ามั่งดีกว่า 555 ไปละ ยังไม่ได้อาบน้ำเลย (พรุ่งนี้เดย์ออฟฟฟฟฟ ลัลลล้าา ~~~)

sábado, 16 de abril de 2011

Review: Drugstore products!

It has been such a long time since my last review. I'm now in Orlando! (living right in front of Walmart :D) And I'm so excited to share my review with you guys today. I shopped a couple of things here. Hope you like it! (I got them from Walmart and Walgreen)

(ps. sorry for my poor english lolz)

  • L'Oreal Voluminous Million Lashes ($7)
I have to say that I'm new to mascara :) The first one I got is maybelline (which I'm not impressed that much.) I have quite long lashes but they are not thick :( So, I was looking for a mascara that voluminize my lashes. This one from L'Oreal has done pretty good job. My lashes look a bit longer and nicely thicker. I'm sure that this one is not the best but it's a good choice for those who want to try out a good but inexpensive mascara.
ps. I like the package! :)

  • Revlon Super Lustrous Lipstick: 613 Just Enough Buff ($4.97)





I actually didn't mean to buy Super Lustrous Lipstick because I was looking for the matte color! However, I picked up this one just because the color is sooo lovely. It's a pretty-nude-pink color. When I got back to the hotel, I was so excited to try out. BUT it didn't look good on me at all. As I said, the color itself is gorgeous but somehow it didn't show up on my lip. I personally think that this one would look great on those who have fair skin :'( sigh ....

  • Neutrogena Foaming Scrub: Pink Grapefruit Oil-Free Acne Wash ($6.62)


Well, actually it comes with the tube but I did break its cap so I had to buy a new bottle with a pump and put all the product in there :'( Anyway, I love this product. I have been using this one less than a week so I can't tell whether it's going to help my acne or not. However, I do love the feeling after using this product. My face is smoother and fresh. It also smells nice! (like a grapefruit I think) And I don't break out or anything :)



  • Queen Helene Mint Julep Masque ($2.47)


I knew this mask from youtube. (maybe from Michelle Phan's , I'm not sure) And I saw it in Walmart so (no doubt) I decided to pick it up. I've tried only once so I just can't tell whether it helps reduce acne or not but I just love it. Once I applied it on my face, I felt like having toothpaste all over my face. It smells exactly like a toothpaste (really!) However, it left a smooth and fresh feeling on my skin, once I rinsed it off. If you don't mind a minty smell, then this one might work well for you! Recommended for those who have acne-prone skin!
ps. One thing that I've noticed is that my acne dries up a little bit after using this for the first time:)

I'm thinking about showing you guys all the candles that I got from Bath and Body Works and Yankee Candle. They are A-M-A-Z-I-N-G ;)

see you soon,
xoxo
aom

viernes, 8 de abril de 2011

W&T: It's getting more serious...

ห่างหายไปหลายวันทีเดียวสำหรับการอัพบล็อก เพราะว่าเหนื่อยทุกวัน (เหนื่อยใจนะ) ก็อย่างที่บอกไปว่าอาทิตย์ก่อนนั้นก็ได้อยู่ปิดร้านกับเดวิดสองวัน ก็ต้องรอบคอบมากเลยแหละ แล้วพรุ่งนี้้เลยกลายเป็นรับผิดชอบปิดคนเดียวไปเลยซะงั้น (สาดด ... ไม่ควรจะด่า แต่มันไม่ไหวจริงๆนะ) คือ ไม่เข้าใจว่าเค้าคิดอะไรอยู่อ่ะ ทำไมจัดแบบนี้ก็ไม่รู้ ร้านนี้เคยมีกรณีโดนปล้นไปเมื่อปลายปี มันเปลี่ยวอ่ะ รถกลับก็ไม่มี เค้ายังให้เลิกดึกอีก แต่พี่ออมคงจะอยู่ช่วยด้วย เพราะเลิกงานก่อนเราชั่วโมงนึง ก็คงช่วยกัน อีกวันนึงก็สลับกัน เราก็จะอยู่ช่วยพี่ออม แต่ยังไงเราว่ามันก็ยังอันตรายมากอยู่ดีนะ ผู้หญิงสองคนปิดร้านตอนห้าทุ่ม ... แถมปิดไม่พอต้องเดินกลับเองด้วย ชั่วโมงครึ่งด้วยนะ ไม่ใช่เล่นๆ ตอนที่เราปิดอาทิตย์ที่แล้วดีอ่ะ เพราะหมิงมารับสองวันเลย วันแรกต้องเดิน อีกวันให้โจเซฟ ว่าที่ผู้จัดการ(หรือเป็นผู้จัดการไปแล้วก็ไม่รู้)ของร้านหมิงไปส่ง แต่ก็มีอีกวันนึงที่เราทำกับจูเลียส (เพื่อนใหม่ ฮิฮิ) อันนั้นไม่ได้อยู่ปิด แต่เลิกสองทุ่ม เราเลยตัดสินใจ เอาวะเดินกลับ ... แต่พอออกมาไม่เท่าไหร่ คิดในใจกูไม่น่าเลย นี่คิดจะทำอะไรเนี่ย

เราไม่กลัวคนนะ ...
ฮืออ เรากลัวอย่างอื่น T__T

แล้วที่ๆเราเดินอ่ะ เปลี่ยวมาก บางจุดไม่มีไฟเลย ที่สำคัญมากและน่ากลัวที่สุด
เราต้องเดินผ่านเหมือนเป็นแบบสะพานอ่ะ รถวิ่งเร็วๆเยอะๆ คาดว่าอุบัติเหตุตรงนั้นเยอะมากแน่นอนเพราะ
มีหลุมศพเรียงรายไปหมด ... อืม นี่แหละที่เรากลัว เพราะวันที่เดินมากับหมิงเจอไปแล้วจังๆ น่ากลัวมากกกก
ฮือออออออออ

ตอนเดินกลับเอง วันนั้นคงเพราะทำดีมั้ง พระเลยคุ้มครอง
วันนั้นเราจำได้ว่า เราช่วยคนพิการคนนึงที่ร้าน จริงๆก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากหรอก เพราะเค้าอยากช่วยเหลือตัวเอง แต่เราก็พยายามทำโน่นทำนี่ให้ ยิ้มให้่ ปฏิบัติกับเค้าดีๆ เค้าดีมากนะ น่ารักมากจริงๆ ดีใจที่ได้ช่วย หรืออย่างน้อยก็ทำให้เค้ารู้สึกดีๆ วันนั้นพอต้องเดินกลับเอง...ก็ลืมเรื่องคุณลุงพิการไปชั่วขณะ ใส่หูฟังเปิดเพลงดังๆมาตลอดทาง พอใกล้ถึงโซนอันตรายที่ว่า เราก็หยุดก่อนตรงที่มีไฟเป็นที่สุดท้าย แล้วจัดการห้อยพระและตะกรุด เรามีไฟฉายไอโฟนอ่ะ ก็ฉายไปตลอดทาง เพียงแต่ว่าไอโฟนมันชอบล็อกอัตโนมัติอยู่เรื่อยๆ คือไฟมันก็จะดับ ต้องปลดล็อก เราก็คิดในใจ มึงจะดับตอนไหนก็ดับนะ แต่ตอนเดินผ่านตรงนั้น ขอเถ้อะะะะ T_T

ก็ข้ามถนนมาได้อย่างปลอดภัย คือเราพยายามเดินติดถนนมากที่สุด เพราะถ้าเดินตรงหญ้าคือเหยียบแน่ๆ ก็เดินไปสักพัก เอาละ ฮือออ มาแล้ว ไม้กางเขนสีขาว แล้วสักพักไฟฉายดับ แง้ๆๆๆๆๆๆ TT~TT รีบเปิดแล้วเดินจ้ำต่อไป เรานิสัยคือชอบมองข้างทางไง เป็นยังงี้มาตั้งนานแล้ว เพราะฉะนั้นเวลาไปไหนเราถึงจำทางได้ ไม่ก็จำได้ว่า เออ เคยมาที่นี่แล้ว ก็เป็นข้อดีใช่มะ แต่มันไม่ดีตอนนี้แหละ เราแบบ ฮือออออออ ม่ายยย
คราวนี้เลยพยายามมองไปข้างหน้าอย่างเดียว โชคดีที่มันไม่ได้เปลี่ยวเหมือนวันที่เราเดินกลับกับหมิง เพราะมันไม่ดึกเท่าไง รถก็เยอะเหมือนกัน แต่ขับเร็วมาก ก่อนหน้านี้มีคนจอดด้วยนะ แต่เรากลัว เลยเดินช้าๆ คนขับก็คงกลัวเหมือนกัน เลยขับไปเลย พอเราลอดสะพานมา ก็เดินเลาะถนนไปเรื่อยๆ มองไม่เห็นไม้กางเขนแล้ว แต่เห็นรถแท็กซี่ข้างหน้าจอดเทียบแทน เราแบบไม่นะ กูเดินมาขนาดนี้แล้วนะ กูไม่เสียค่าแท็กซี่เด็ดขาด ไม่มีทางงงง คนขับเป็นคนดำ เค้าบอกเออ เค้าจะไปแถววอลมาร์ทนะ เดี๋ยวไปส่งให้แถวๆนั้นได้เอาไหม คือ เค้าก็พูดอังกฤษไม่เก่งนะ จริงๆตอนนั้นเราก็ไม่กลัวแล้วนะ เหมือนผ่านจุดที่น่ากลัวมาแล้วอ่ะ เราเลยปฏิเสธไปเพราะเดินเลยครึ่งทางมาแล้ว แต่เค้าก็ถามย้ำ เนี่ยเดี๋ยวไปส่งให้ คือ เค้าบอก give a ride ให้เอาไหม เราก็นะ จริงๆก็ขี้เกียจเดิน ฮ่าๆๆๆ เลยโอเค ไปก็ได้วะ (เสี่ยงดวงมาก) คือเราเห็นเบอร์อะไรไม่รู้ในรถเค้าอ่ะ คือ ไม่รู้ แต่คิดว่าถ้าเกิดไรขี้น มันน่าจะตามตัวเราได้สิน่า เราไม่กลัวนะ ตอนตัดสินใจว่าจะไป แต่ก็พยายามระวังตัว เพราะไม่รู้ว่าเออ จะเอากูไปขายไหมนะ แต่เราก็รู้สึกว่าเค้ามาดี ก็เลยโอเค อีกอย่างคือ มันเป็นทางที่เราคุ้นเคยด้วย เค้าก็ชวนคุยบอก เออ เนี่ยเดินทำไม รู้นะว่าเป็นการออกกำลังกายที่ดีแต่มันดึกแล้ว อันตรายมากนะ เราก็คิดในใจ เอ่อะ คือ ไม่มีทางเลือกโว้ยย รถหมดแล้ววว!!! เหมือนเค้าจะไปรับผู้โดยสารที่วอลมาร์ทอ่ะ เราเลยลงข้างหน้าเลย ข้ามถนนถึงโรงแรม (เย้~~~) คือ เราแบบโล่งมากกก

ย้อนกลับไป ถามว่าทำไมเลือกจะเดินคนเดียว น้องหมิงไปไหน
555

คือจริงๆเราว่าการตัดสินใจจะเดินเป็นความคิดชั่ววูบมาก แต่เราเหมือนแบบ เออ ตัดสินใจไปแล้วอ่ะ เดินๆไปเถอะ ทั้งๆที่จริงๆแล้วกลัวมากเลยนะตอนเดินมาแรกๆ เพราะเหมือนรู้ไงว่ามีอะไรรออยู่ข้างหน้า แต่เราก็พยายามปลอบใจตัวเองอ่ะว่า ไม่เป็นไรหรอก อย่าไปกลัว พี่ออมยังเดินมาแล้ว เราก็ต้องเดินได้เหมือนกัน เราคงจะพึ่งคนอื่นตลอดไม่ได้หรอก หมิงเองก็ต้องรอคนมาส่ง คือ เหมือนเรากับหมิงเลิกเวลาเดียวกันไง แล้วหมิงเองก็กลับไม่ได้ เพราะจากที่ทำงานหมิงมาของเรามันไกล ก็ต้องรอให้ที่ทำงานมาส่งซึ่งก็คือ โจซู (ญาติโจเซฟ) แต่โจซูก็ต้องอยู่ปิดร้านอีก เราเลยคิดในใจ งั้นเราอยู่รอจูเลียส ช่วยจูเลียสปิดร้านไปเลยไม่ดีกว่าหรอ จูเลียสไปส่งแน่นอน เพราะเค้ามีรถ (มั่นใจเกินไปมั้ย 55555) แต่เราไม่อยากรอแล้วไง เรายังเซ็งกับตารางอยู่ เราคล็อกเอาท์แล้วด้วย แล้วคือจะให้เรานั่งรอเฉยๆเราทำไม่ได้อ่ะ ต้องเข้าไปช่วยแน่ๆ แต่อีกใจเราก็คิดว่า เออ เดี๋ยวคิดย้อนกลับมาคงเสียดายเวลาอ่ะ จะไปทำงานให้เค้าฟรีๆสามชั่วโมงเนี่ยนะ!

เลย เดินดีกว่า ... แต่มันเป็นความคิดชั่ววูบจริงๆ เราแทบกรี๊ด ตอนเดินมาสักพัก 555 แต่ก็ดีนะ ทำให้เรามีความกล้ามากขึ้น และได้เจอคนดีๆ
เราคิดว่า คงเป็นเพราะเราทำดีมา ก็เลยได้ดีตอบแทน
เราดีใจมากจริงๆนะที่ได้ช่วยคนอื่น แต่บางทีช่วยจนลืมไปแล้วว่า คนที่ได้รับความช่วยเหลือเค้ารู้สึกยังไง
วันนั้นก็ได้รู้ซึ้งเลยล่ะ เพราะงั้นเราเลยยิ่งอยากช่วยคนอื่นมากขึ้นไปอีก
เพราะรู้แล้วว่า คนที่ได้รับความช่วยเหลือ โดยเฉพาะเวลาที่เค้าต้องการมันมากๆ เค้ารู้สึกดีแค่ไหน
:)

นี่คือบทเรียนของสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับการทำแซนด์วิช 55555555

อย่างที่บอกนะว่าตารางอาทิตย์นี้เลวมากที่สุด เรายังมีเลิกสองทุ่มอีกสองวันจันทร์กับอังคาร
ส่วนเสาร์นี้ (ซึ่งคือพรุ่งนี้) ต้องเป็นคนดูแลแคชเชียร์เอง และอยู่ปิดร้าน
วันอาทิตย์ทำตั้งแต่บ่ายโมง แต่ก็ยังมีช่วงที่ต้องอยู่คนเดียวสองชั่วโมง ระหว่างรอพี่ออม ซึ่งเราก็กลัว เพราะวันนั้นเดวิดไม่อยู่แน่นอน ฮือออ จะร้องไห้
เดวิดดีมากอ่ะ ความจริงวันก่อนเราก็ต้องอยู่เองคนเดียว รอจูเลียส แต่เค้าบอกเค้าไม่ทิ้งเราแน่นอน ไม่ต้องกลัว จะอยู่จนกว่าจูเลียสจะมา เราเลยแบบสบายใจอ่ะ แต่คือวันอาทิตย์นี้เค้าไม่มาอ่ะ เราทำกับริคด้วย มันไม่อยู่กับเราแน่นอน อยากกรี๊ดดดดดดดดดดดด T__T

เอ่อะ ฝากบอกมะปรางและเอมมี่ เดวิดมีแฟนแล้วโว้ย 555555

คือเราไม่ได้ทำตอนเช้าเลย แทบไม่ได้เจอเมเนเจอร์เลย เวรมากกก
ไม่รู้ทำไมจัดตารางแบบนี้ อยากฝึกเรา เราก็ฝึกไปแล้ว
นี่จะให้เราปิดร้านคนเดียว ไม่เข้าใจหรือไงนะว่าเราลำบาก
เรากลับบ้านไม่ได้ เพราะเราไม่มีรถ!!! คือ ถ้าอาทิตย์หน้าเป็นแบบนี้อีก เราอาจจะต้องลองคุยดูจริงๆ
ถามว่าทำได้ไหม มันก็ทำได้นะ ไม่ได้มีปัญหาอะไรขนาดนั้น ปัญหาใหญ่ๆคือเรื่องรถ เรากลับไม่ได้ เราต้องเดิน ซึ่งถามว่าเดินได้ไหม ก็เดินได้ แต่มันไม่ปลอดภัยอ่ะ แล้วเราก็ไม่ได้รู้จักใครที่มารับได้ตลอดด้วย

ทำงานที่นี่จริงๆได้แค่ 25 ชั่วโมงเอง พี่มิ้มกับหมิงได้น้อยกว่านี้อีก
แล้วคือเหมือนกับว่า มีหลายคนร้องเรียนไปเรื่องงานใช่ป่ะล่ะ ว่าเออ ได้ชั่วโมงน้อย

ทาง AWA เลยส่งเมล์มาบอกว่า เนี่ย เห็นบอกกันเยอะ แต่เหตุผลหลักๆอาจจะเป็นเพราะ
เราคุยอังกฤษกับลูกค้าไม่ดีพอ หรือ เราแยกไม่ออกว่าเนื้ออะไรเป็นอะไร หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะเราไม่สามารถอยู่ดูแลร้านคนเดียวได้ นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เราได้ชั่วโมงงานน้อย

เอาจริงๆตอนแรกเราไม่คิดอะไรนะ แต่ตอนนี้พอมาเห็นแล้วมันหงุดหงิดอ่ะ
คือกรณีพี่มิ้มกับหมิง เงินมันไม่พอเลยนะ ไม่พอค่าห้องแต่ละอาทิตย์เลย ได้ทำแค่สิบกว่าชั่วโมงเอง
เราค่อนข้างมั่นใจนะ ว่าสองคนนี้ทำงานได้ดี พี่มิ้มเคยไปทำที่สาขาเรา ไปช่วยฟรีๆ เดวิดยังชมเลย หมิงเองก็ด้วย ทำทุกอย่างเลย คล่องมาก เมื่อวานไม่ใช่เวลางาน แต่ผ่านไปที่ร้านของหมิงกับพี่มิ้ม หมิงเห็นคนเยอะก็เปลี่ยนเสื้อ ไปช่วยฟรีๆ แล้วก็เห็นทำได้โอเคเลยอ่ะ อีกอย่างยังมีคนที่ได้ชั่วโมงมากกว่าเราตั้งเยอะ เพราะว่าทำเอาท์เลตอะไรแบบนี้กัน

เราเลยคิดว่าเรื่องโลเกชั่นมันก็มีส่วน เค้าเองก็ควรจะอธิบายข้อจำกัดของร้านมาด้วย ไม่ใช่เขียนเมล์มาแบบนี้ มันเหมือนโทษแต่เด็กว่า เออ คุณไม่มีความสามารถ เราตอนแรกไม่ได้เดือดร้อนนะ เอาจริงๆ แต่พอยังงี้มันเหมือนมาดูถูกกันมากไปหน่อย เราก็ไม่ได้บอกนะว่าเราเก่ง เราทำได้ 100% ดีเลิศสุดๆ ไม่อ่ะ เราก็ฟังไม่รู้เรื่องเหมือนกันบางที แต่เราแยกเนื้อเป็นนะ เรายิ้ม ไม่ฉุนเฉียวใส่ลูกค้าเลย ผิดก็ขอโทษตลอด ไม่รู้อะไรก็ถามคนที่รู้ ตอบลูกค้าเท่าที่ตอบได้ พยายามแล้วพยายามอีก เค้าจะรู้ไหมว่าเราทำอะไรบ้าง ต้องเอาสูตรมานั่งท่องนะ เราไม่เข้าใจอะไรก็ถาม การที่มาพูดแบบนี้ทำให้เรารู้สึก เออ สิ่งที่ทำไปไม่มีความหมายหรือไง จากที่เค้าเขียนก็ดูเหมือนจะเป็นความผิดพวกเราเอง ที่ชั่วโมงน้อย ไม่เกี่ยวกับร้าน ทั้งๆที่ความจริงร้านก็มีส่วน ที่เราไม่ได้เรียกร้องเรื่องชั่วโมงทั้งๆที่มันต่ำกว่ากำหนด เพราะเราไปนั่งนับๆดูแล้ว คนอื่นในร้าน เช่น เดวิด ก็ชั่วโมงพอๆกับเราเลย เราเลยไม่บ่น เพราะรู้สึกว่า ในร้านก็ต้องแบ่งๆกัน เรามาอาศัยพวกเค้าสามเดือนก็ลดชั่วโมงพวกเขากันไปพอสมควรแล้ว เลยไม่รู้จะไปเรียกร้องอะไรอีกทำไม

เพื่อนที่ทำงานเราโอเคนะ วันนั้นทำงานกับจูเลียสก็โอเคเลย ชวนคุย ไม่ก็ชอบเปิดประเด็นให้เราชวนคุยเค้าได้เรื่อยๆ ก็เหมือนๆทุกคนจะพยายามช่วยเรากับพี่ออมเหมือนกันเรื่องที่ต้องปิดร้านหรือกลับเย็น แต่ไม่รู้ลุงเมเนเจอร์แกคิดอะไรอยู่ ถึงได้จัดเราทำเย็นตลอด (ข้อดีคือ ไม่ต้องเจอลุงแกนั่นแหละ เชอะ) แถมยังมีเวลาให้เราทำงานคนเดียวเยอะมาก (คืออยู่คนเดียวจริงๆ) แล้วจัดไม่เอาเดวิดมาลงกะใกล้ๆเราเลยด้วย
พรากพ่อพรากลูกกันเลย เอาป๊ะป๋าเดวิดของฉันคืนมานะะะะะะโว้ยยย (เค้าเหมือนพ่อจริงๆ ดูแลทุกอย่าง ลุงแกเลยแบบว่า อืมม มึงโอ๋กันนักใช่ไหม แยกกันซะ ฮือออ) พี่ออมก็โดนแยกเหมือนกัน นี่ยังแลดูปรานีนะ เพราะวันที่ปิดร้านเอง ยังจัดเวลาให้อีกคนอยู่ช่วยได้ (เรากับพี่ออมสลับกันปิดร้าน แต่วันที่เราปิดร้าน พี่ออมจะเลิกก่อนชั่วโมงมึง วันที่พี่ออมปิดร้านเราก็เลิกก่อน แต่คือมันอยู่ช่วยกันได้ไง ประมาณนี้อ่ะ) เหอๆๆๆๆ แต่ถ้าอาทิตย์หน้ามันแยกขึ้นมาอีกจนเราต้องอยู่คนเดียวล่ะก็ ..... ฮืมมมม ไม่อยากคิดจริงๆ

เราก็ไม่รู้ว่าทำยังงี้ไปแล้วได้อะไร เพื่ออะไร เพราะทำไปเราก็รู้ว่าชั่วโมงมันก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นหรอก
จะเพิ่มได้ไง คนอื่นก็ได้พอๆกันเท่านี้แหละ

ก็ขอบคุณนะที่ช่วยฝึก แต่เอาจริงๆ ไม่อยากเอาชีวิตมาเสี่ยงโดนปล้นหรือโดนลักพาตัวตอนกลางคืนโว้ย

เราเครียดมากนะ ไอ้ช่วงที่ต้องอยู่คนเดียวอ่ะ แต่เราเตรียมไว้ละ
ก็ตั้งใจว่า จะแปะโพสต์อิทที่หมวกไม่ก็เสื้อ ว่าเราเป็นเด็กใหม่นะและเป็นเด็กไทยด้วย (อาจจะแปะหลังเสื้อด้วยอ่ะ) แล้วก็จะเตรียมโพสอิทไป ใครพูดจาไม่รู้เรื่อง ยื่นโพสต์อิทให้ไปเลย เขียนมาแล้วกันว่าจะกินอะไร อีกอย่างคือจะเตรียมเครื่องคิดเลขไปด้วย เผื่ออีเครื่องคิดเงินเวรมันเล่นตลกอีก

ถามว่ากลัวไหม เออ กลัว แต่ผิดไหมที่กลัว?
ถ้าทำไม่ได้ แปลว่าเราไม่ได้เรื่องหรือเปล่า?
เราจำเป็นต้องทำให้ได้หรอ? เค้าสั่งอะไรมาต้องทำหรอ?
ไม่จำเป็นว่ะ

เรายังไหวนะ ยังไม่ถึงขีดจำกัด แต่ถ้าถึงเมื่อไหร่...
เหอๆๆๆๆๆๆ !!!

เราไม่รู้ว่าเค้าทำแบบนี้ เพื่อบีบอะไรเราหรือเปล่า (ในที่นี้ไม่ใช่มีเราโดนคนเดียวนะ พี่ออมก็ด้วย)
แต่เราก็ไม่ยอมเหมือนกันอ่ะ ทำไมอ่ะ มีปัญหามะ
คิดว่าจะทำไม่ได้หรอ ก็จะทำให้ได้อ่ะ
แล้วจะทำให้ดีที่สุดด้วย ถ้าโดนลูกค้าด่ามากๆ ก็จะร้องไห้ตรงนั้นอ่ะ
ในเมื่อเค้าไม่แคร์เรา เราก็ไม่แคร์เหมือนกัน
แต่เราไม่ยอมแพ้อ่ะ ไม่มีวันยอมด้วย

แล้วก็อย่าหวังเลยว่าเราจะไม่ปริปากพูดอะไรและปล่อยให้เค้าทำกับเราแบบนี้ไปตลอด
เรื่องนั้น เราก็ไม่ยอมเหมือนกัน เหอะ ;p
เราพยายามคิดแง่ดีแหละ ว่าเค้าคงจะไว้ใจแล้ว ถึงให้ทำกะเย็น เพราะเค้าเคยบอกช่วงแรกๆว่าที่ให้ทำกะเช้า เพราะว่าเค้าจะได้ดูตอนเราทำงานด้วย

เราก็เข้าใจเรื่องนี้นะ

แต่ช่วยคิดถึงความสะดวกนิดนึงได้ไหมมมมม T-T

เห้อออ วันนี้มาเครียด ยิ่งคิดยิ่งเครียด แต่ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วงนะ
เราเอาตัวรอดได้เหมือนทุกทีนั่นแหละ
อาจจะมีเรื่องเจ็บใจบ้าง แต่เราดูแลตัวเองได้แน่นอน :)

อ่อ มีอีกอย่างคือ วันนั้นคีธมา คีธเป็นซูปเปอร์ไวเซอร์ไง คนก็จะเกรงๆเค้า หลายคนก็โดนเค้าว่าไปบ้างแล้ว เช่นหมิง เรื่องล้างมือ เรื่องบลาๆๆๆ ไรงี้ เค้ามาแล้วทุกคนก็กดดัน วันนั้นเค้ามา ถามว่าเราแคร์มั้ย ไม่
มาก็มาไป ก็ทำงานไปตามปกติ แต่ก็แค่พูด Welcome to Subway ให้บ่อยขึ้นและดังขึ้น แค่นั้นจบ ปรากฏว่า เมเนเจอร์เรียกเราไปคุยนะ เราก็อืมม โดนด่าอะไรน้อ ... เพราะหลายคนก็โดนๆมาเหมือนกัน ปรากฏเค้าแค่บอกว่า เออ รวบผมขึ้นไปอีกได้ไหม เพราะผมยาว (เรามัดปกติไง) แล้วก็เอาหมวกขึ้นหน่อยนะ จะได้เห็นเวลายิ้ม ...

เราแบบ... อืม แค่นี้อ่ะนะ แสดงว่าไม่มีอะไรจะด่าใช่ไหม เหอะ แบร่ ;p แล้วยังมีหน้ามาบอกว่าที่ได้ชั่วโมงน้อยเพราะความสามารถของกูหรอคะ?? (ยังไม่จบ 5555) เดวิดก็บอก แสดงว่าคีธเห็นว่าเราทำงานได้ดีนะ
(จู่ๆเค้าก็กลับไปเลย) เหอะ เหอะ เหอะ เหอะ ยังหรอก
ยังไม่ดีที่สุด

ถ้าสถานการณ์และทุกคนไม่บีบเราไปมากกว่านี้
เราสามารถทำได้ดีกว่านี้อีก ...
และดีกว่านี้อีก อีก อีก อีก
แต่ถ้ายังทำให้เครียดบ้ัาบอกันอยู่แบบนี้
ระวังเถอะ ผลมันจะเป็นตรงข้าม

แบร่ๆๆๆๆๆ ;ppp

แล้วเราจะได้เห็นกัน
เชอะ!!



ps. ขอโทษ วันนี้จัดเต็ม เครียดมาหลายวันละ แต่เราขอย้ำนะ ว่าไม่ต้องเป็นห่วง :) เดี๋ยวอะไรๆคงดีขึ้น
ps2. ไปเปิดธนาคารมาละ ได้บัตรมารูดแล้ว เช็คใบแรกก็ออกแล้วได้แค่ 170 กว่าดอลเอง ก็นะ แต่ไม่เคยหาเงินห้าพันกว่าได้ภายในระยะเวลาสั้นขนาดนี้มาก่อนเลยแฮะ ~ ก็เอาเถอะ เห้อออ อ่อแล้วก็ไปสมัครงานออนไลน์มาสองที่ละที่เบอเกอร์คิงกับแมค เพราะมันอยู่ตรงข้ามบ้านเราเลย ก็สมัครทำตีหนึ่งถึงหกโมงเช้า ไม่แน่ใจเหมือนกันนะว่ามันเปิดยี่สิบสี่ชม.หรือเปล่า แต่ว่าน่าจะมั้งนะ เอาเถอะ ก็ไม่ได้หวังว่าจะได้อะไรหรอก สมัครไปงั้นๆแหละ เหอๆๆๆๆ

viernes, 1 de abril de 2011

Wish List#2

อยากช้อปปิ้งงงง แต่ไม่มีเงินเลย ให้ตายเถอะ ตอนนี้มีเงินเหลือประมาณสามร้อยกว่าดอล เช็คก็ยังไม่ออก ฮือฮือ อันนี้เอามาเขียนลงไว้แก้ความอยากกกก เอาไว้ถ้าได้ซื้ออะไรมาเมื่อไหร่ จะเอามาลง (ส่วนใหญ่ก็ยังเป็นเครื่องสำอางเช่นเดิม)

ส่วนใหญ่จะเป็นราคาจากเวป sephora นะ ยังไม่บวกแท็กซ์ ฮือฮือ
1. Benefit BADgal Lash Mascara $19 อยากลองมาสคาร่ายี่ห้ออื่นบ้างเฉยๆ ฮ่าๆ
2. Benetint $28 แพงอ่ะ แต่ว่าทาแล้วลุคดูธรรมชาติดีนะ อยากลองดูเหมือนกันอ่ะะ
3. Sugar Bomb Blush (Benefit) $28 เก๋ดีอ่ะ อยากได้ๆๆๆ
4. NARS Orgasm Blush $27 อันนี้ฮิตมาก เหมือนเป็นmust haveของเมคอัพกูรูในยูทู้ปเลยอ่ะ อยากได้บ้าง
5. Laura Mercier Silk Creme Foundation $42 จริงๆเกือบได้ซื้อละ แต่วันนั้นได้ของ Make Up Forever มาแทน ซึ่งก็ใช้ได้โอเคอ่ะ เพียงแต่ว่าอยากลองอันนี้เหมือนกันนนน (แต่เห็นพนง.บอกว่าของ laura mercier range สีจะน้อยกว่า)
6. Too Faced Shadow Insurance $18 หวังว่าถ้าซื้อมาใช้แล้ว จะทำให้อายแชโดว์ติดทนนานขึ้นกว่าเดิม เพราะปกติเวลาใช้ ทาตอนเช้า ตอนเย็นๆเหงื่อออกมันก็เลือนหมดละ เง้อ
7. MAC Eyeshadow (Dazzlelight) $14.50 สีดูเบาๆดีน่าจะเหมาะใช้ได้หลายงานอยู่นะ
8. MAC Eyeshadow (Amber Lights) $14.50 เป็นสี peachy-brown ซึ่งเราคิดว่าน่าจะเหมาะกับสไตล์เราอ่ะนะ
9. MAC Eyeshadow (Sushi Flower) $14.50 สี pinky-coral น่ารักดี เราไม่เคยมีสีชมพูประมาณนี้เลย อยากลองซื้อมาใช้ดูว่าจะเหมาะกับตัวเองไหม
10. MAC Eyeshadow (Shroom) $14.50 สีซอฟเบจ สวยๆเก๋ๆ น่าจะเป็นเบสได้ดีและน่าจะเข้ากับหลายๆสีนะ
11. MAC Eyeshadow (Ricepaper) $14.50 peachy-gold with shimmer รู้สึกเราชอบสีแนวน้ำตาล ส้ม ทอง สีพีช อะไรทำนองนี้แฮะ ไม่ค่อยกล้าใช้สีอื่นเลย ... แมคมีแค่นี้แหละอย่างน้อยก่อนกลับต้องสอยอายแชโดว์แมคกลับไปอย่างน้อยสองสี T_T
12. Bath and Body Works Candles 2 for $20 (Caribbean Escape/Lilac Blossom) ดูจะเป็นสองกลิ่นที่ต่างกันมากเลยนะ อันนึงดูแบบซัมเมอร์ อีกอันแบบสปริง แต่คงหอมอ่ะ แค่อาจจะคนละแนวกัน ว่าจะไปดูที่ฟลอริด้ามอลล์เหมือนกันว่ายังมีโปรโมชั่นเทียนสองอันยี่สิบเหรียญนี่อยู่หรือเปล่า อยากได้อ่าาา
13. Bath and Body Works Candles 2 for $20 (Caribbean Salsa/Pink Sangria) รู้สึกจะเป็น summer scent หมดเลย น่าจะหอมนะ เราว่ากลิ่นผลไม้หน้าร้อนมันก็ทำให้ห้องดูสดชื่นดี อยากได้ๆๆๆๆ

จริงๆอยากได้เยอะกว่านี้มาก แต่ขี้เกียจโพสต์แล้ว ฮ่าๆๆ ตอนนี้ชอบ bath and body works นะ อยากได้เทียนหอม 555 แล้วก็ยังไม่ได้ซื้อแมคเลยซักกะชิ้น อ๊ากกก ยอมไม่ได้ ถ้าได้เงินเมื่อไหร่จะไปสอยมาทันที ตอนนี้เราทำลิสต์ของฝาก รู้สึกว่าของเยอะมาก (เกินไป) ฮ่าๆๆ เอาไว้ไปช้อปครั้งหน้าจะเอามาโพสต์ลง :D จริงๆอยากโพสต์รีวิวเครื่องสำอางที่ไปซื้อมา แต่ขี้เกียจเกินไป ตอนนี้แบบเสียเวลาเดย์ออฟไปครึ่งวันละ พรุ่งนี้อยู่กะปิดร้านอีก ยังไม่รู้เลยจะกลับบ้านยังไง 555 เลิกตั้งเกือบเที่ยงคืนแน่ะ! ไปล้าาา ไว้มาไร้สาระต่อ

jueves, 31 de marzo de 2011

W&T: Being A Sandwich Artist!

ความจริงตั้งใจจะมาอัพวันหยุดงานแหละนะ แต่ปรากฏว่าวันนี้คอมอยู่ว่างๆ เพราะน้องหมิงออกไป hang out กับเพื่อนที่ทำงาน เลยยึดคอมซะเลย (โฮะโฮะโฮะ) ก็เลยขออัพอย่างเต็มที่ และขอเล่าชีวิต sandwich artist ที่ชื่อว่าหทัยพันธน์ให้ทุกท่านได้ฟังดังนี้ เป็นช่วงชีวิตอันยาวนานที่จริงๆแล้วทำงานอย่างทรหดไปเป็นจำนวนเพียงแค่หกวันเท่านั้น (รู้สึกเหมือนอยู่มาซักปีนึงได้!)

(โปรดอ่าน; อาจมีคำไม่สุภาพบ้าง เพราะอยากเล่าและอยากระบายให้เข้าถึงอารมณ์ ต้องขออภัย)

หลังจากวันแรกที่เค้าปล่อยให้เราดูวิดีโอกับล้างจานไปอย่างหรรษาแล้วนั้น เราก็หลงคิดไปว่า โถ งานคงไม่เป็นไรมาก สู้ไม่ถอย แต่วันที่สองมาเท่านั้นแหละ ... #@~!*(&#@)#(@**@ ต่างกันราวฟ้ากับเหว นรกกับสวรรค์ เนื่องจากเกิดความผิดพลาดคนเข้างานน้อยเกินไป เราจึงต้องโผล่ออกไปหน้าเคาท์เตอร์และสู้รบกับกองทัพมนุษย์หิวโซแทน วันแรกของการอยู่หน้าเคาท์เตอร์ (ต่อไปขอเรียกว่า line) และวันที่สองของการทำงาน เรากับพี่ออมต้องคอยดูแลเรื่องผัก คือใส่ผักในแซนด์วิชตามที่ลูกค้าต้องการ ใครไปกินซับเวย์มาแล้วคงจะนึกออก เดี๋ยวเราจะอธิบายให้ละเอียดอีกที เอาเป็นว่า เราประจำอยู่ส่วนใส่ผัก แล้วก็ต้องฟังลูกค้าว่าต้องการผักอะไรบ้าง และจะใส่ซอสอะไรหรือทอปปิ้งอะไร ทำไปทำมาก็ชินๆนะ พอจับได้บ้าง วันนั้นคนก็บังเอิญเยอะมากกกกกกกก จากที่ได้กลับสองโมง กลายเป็นต้องกลับสี่โมง ก็ดีได้ทำงานเจ็ดชั่วโมง แต่ขอโทษเถอะ ลืม clock in ง่าวสุดๆๆๆ ฮือๆๆๆ เกือบได้ทำงานฟรีแล้วเชียว บทเรียนของวันนี้สอนให้รู้ว่า มาถึงปุ๊บอย่าลืมตรงไป clock-in ที่เคาท์เตอร์ก่อน ฮืออออ

วันต่อๆมาไม่อยากจะพูดถึงคือความยากมันเพิ่มพูนมาก บางทีก็ต้องมาประจำในส่วนเนื้อ ซึ่งจำได้ครั้งแรกที่มาทำนั้น เราแบบอยากจะร้องไห้ เค้าสั่งไรมาไม่รู้เรื่องเลย ทำได้แค่เออ ใส่ชีสซึ่งแงะมาแปะยากมาก แล้วก็ยัดแซนด์วิชเข้าเตาอบ เราทำได้แค่นี้จริงๆ พอผู้จัดการถามเมนูว่าแต่ละอันมีอะไรบ้าง ไม่รู้เลยอ่ะ ตอบไม่ได้ อยากกรีดร้องออกมา แบบ โว้ยยยย ใจเย็นๆดิลุง! หลังจากวันอันเลวร้ายนั้นเราเลยถ่ายเมนูพร้อมส่วนประกอบมานั่งท่องที่บ้าน แล้วหมิงก็ใจดียอมเล่นเกมกับเราด้วย 555 คือเราใช้วิธี พิมพ์ชื่อส่วนผสมต่างๆ ใส่กระดาษไปปริ้น (โรงแรมให้ปริ้นฟรี เลยล่อมันซะหกแผ่น ฮ่าๆ) แล้วตัดเป็นชิ้นๆ พอท่องเมนูได้ ก็เล่นสมมุติเป็นลูกค้ากับคนทำ สั่งเมนูขนมปังใส่เนื้ออะไรบ้าง (ไส้แซนด์วิชที่ร้านเค้าจะเรียก sub อ่ะนะ) ก็ลองทำดู ปรากฏอีกวันนึง มันก็ทำได้ดีขึ้นนะ แต่เราแค่ยังหั่นขนมปังไม่สวย แต่ก็พอจำเมนูได้ (จริงๆตรงเคาท์เตอร์ก็มีแปะบอกไว้ แต่ตอนลูกค้ามาอ่านไม่ทันอ่ะ เหอๆ) ปัญหาคืออาจจะฟังไม่รู้เรื่องฟังไม่ทัน เราก็ถามย้ำบ่อยๆ บ่อยจนรำคาญกันไปข้าง แต่ก็ดีกว่าทำผิดอ่ะ เหอๆ บางทีฟังไม่รู้เรื่องก็เรียกคนแถวนั้น เดวิดดด เจสสิก้าา ริคคค แต่ไม่ค่อยกล้าไปยุ่งกับเมเนเจอร์ คืออยู่กับเค้า รู้สึกกดดันมาก ไม่ยักกะใช่คุณลุงใจดีอย่างที่คิดไว้ คือถ้าไม่ใช่เวลางานเค้าจะใจดีมากเลยนะ แต่พอเวลางานปุ๊บเครียดทันที ยิ่งวันไหนเราต้องไปทำผักแล้วเค้าเป็นแคชเชียร์นะ เราจะแบบ โว้ยย ห่อแซนด์วิชได้อุบาทมากกก (คือสองส่วนนี้จะอยู่ใกล้กัน) คือทุกวันนี้ไปทำงานด้วยความรู้สึกเครียดว่าแบบ วันนี้จะโดนอะไร เพราะมันเป็นงานที่เจออะไรใหม่ๆตลอด ลูกค้าเปลี่ยนหน้าไปเรื่อยๆ แล้วถึงจะเป็นคนเดิมก็รับประกันไม่ได้ว่าเค้าจะสั่งเมนูเดิม เราเลยรู้สึกว่ามันยากอ่ะ แล้วทุกคนค่อนข้างกดดันเราด้วย เราก็แบบ โว้ยยย กู freak out สุดๆ เครียดทุกวันจริงๆ แต่ก็คิดซะว่า ช่างแม่ง อย่าคิดเลยว่าคนอย่างข้าพเจ้าจะยอมแพ้ ไม่มีทาง ยิ่งยากยิ่งจะทำให้ได้ มันก็เหนื่อยนะ ร้องไห้งอแงเหมือนกัน แต่ก็คิดว่า เออ ร้องไป เสียใจไป เครียดไป เอาให้เต็มที่ เออ! แต่อย่ายอมแพ้แค่นั้นก็พอ บางทีเค้าก้ไม่ได้ว่าอะไรขนาดนั้น แต่คนที่รู้จักเราจะเข้าใจว่า เออ เราไม่ชอบให้งานไม่เพอร์เฟ็กต์อ่ะ ทุกอย่างต้องออกมาดี ถึงจะทำดีมาทั้งวันแต่ถ้าพลาดไปนิดเดียว เราก็อาจจะเฟลไปทั้งวันเลยได้เหมือนกันนะ หกวันมานี่ส่วนใหญ่ก็เป็นยังงั้น มีวันนึง เมื่อวานมั้งแบบทำเสร็จละ จะกลับละ เมเนเจอร์บอกล้างจานแล้วกลับได้ เราก็จะโล่ง เออวันนี้ไม่โดนอะไรเท่าไหร่แฮะ เพราะไปทำเนื้อซะส่วนใหญ่ไง เริ่มชินหูบ้าง แต่สักพักอิคุณริค (พ่อจักรยานเขียว) ก็ตะโกนมาจากหน้าเคาท์เตอร์ "Omi!! Save me!!!" ชิบละ คิดในใจเกือบรอดแล้วเชียว แล้วคราวนี้ไปประจำอยู่ตรงผัก โอ๊ย เท่านั้นแหละเหมือนนรกอยู่ข้างๆ คุณลุงเมเนเจอร์แกแบบอยู่ตรงแคชเชียร์เลย ทั้งเร่ง ทั้งโน่นนี่นั่น สารพัด ทำเสร็จมีการมาบอกเราว่า เออ เมื่อกี้ทำไมไม่ห่อของคนนี้ ไปช่วยใส่ผักให้อีกคนทำไม แต่ขอโทษเถอะนะ ตอนนั้นแซนด์วิชที่ห่อแล้วกองอยู่ตรงแคชเชียร์บึ้ม ไอ้เราก็หวังดี เดี๋ยวมาห่อก็ได้ เพราะคนมันเยอะ เดี๋ยวปนกัน ถ้าห่อแล้วไม่รู้ว่าไส้อะไรไง ก็ไปช่วยใส่ผักของอีกอัน เพราะตรงผักพ่อจักรยานเขียวแกทำอยู่คนเดียว ถึงมันจะทำเร็วแค่ไหน แต่ก็ไม่เท่าส่วนเนื้อที่ส่งแซนด์วิชมาให้ คือมันกองเยอะมากกก เราเลยไปช่วย แต่คือพอเมเนเจอร์บอกแบบนี้เราก็เลย เออ วันหลังไม่ไปก็ได้ ห่อกองกันตรงนี้แหละ โว้ย! วันนั้นกลับมาเฟลทั้งวันทั้งคืน

One day in Sandwich Artist's Life
ชื่อซะสวยหรูแต่งานนี่ไม่ได้หรูอย่างที่คิด มาถึงปุ๊บปกติเราก็ต้องทำ prep ก่อน คือเป็นการเตรียมพวกส่วนผสมต่างๆ ผัก เนื้อ ขนมปัง บลาๆ ให้เต็มสต็อก ก็แล้วแต่ว่าวันนั้นต้องทำอะไรบ้าง เค้าก็จะมาบอกว่าต้องการอะไรเท่าไหร่ ก็ทำไปตามจำนวนนั้น เรายังไม่ค่อยได้ยุ่งกับขนมปังนะ แต่ขนมปังของที่ร้านเรามีห้าแบบ ทิ้งทุกสี่ชั่วโมง เพื่อความสดใหม่ (เสียดายมาก วันนี้ว่าจะแบกลังขนมปังเสียกลับมาลองหั่นดู แต่ว่าลืม เหอๆ) ก็จะมีวิธีการอบที่เยอะแยะมากอยู่พอควร ทุกอย่างทำเสร็จแล้วยัดห้องเย็น (ฟังดูน่าสยอง แถมหนาวมากกก) เสร็จแล้วงานหลักของเราอีกอย่างคือ ล้างจาน เพราะมันไม่มีใครทำ แล้วเราเองก็ไม่รู้จะทำอะไร ก็เลยเอาวะล้างจานไปเรื่อยๆละกัน ตอนนี้เรายังได้ทำกับพี่ออมอยู่ ก็จะช่วยๆกัน แต่เสาร์นี้ต้องแยกกันทำแล้ว น่ากลัวมาก แต่ไม่เป็นไรมีเดวิด (พ่อหัวฟ้า) แถมไม่ต้องเจอลุงเมเนเจอร์ด้วย (วูฮู้~) ก็หวังว่าเดวิดจะไม่ใจร้ายกับเรามากเกินไปนัก ฮือๆ อ่ะต่อนะ พอล้างจานไปซักพักคนก็จะเริ่มเยอะ สักประมาณสิบเอ็ดโมงคนจะเริ่มมาเรื่อยๆ แต่จะเรื่อยๆไงไม่เยอะมาก แต่พอเที่ยงกว่าๆ แถวจะยาวมากเกือบไปถึงประตู ตอนนั้นล่ะ เราก็จะทำกันมือเป็นระวิง เผื่อใครไม่เคยกินซับเวย์ก็จะอธิบายให้ฟังนะ เราจะแยกเป็นสามสเตชั่นละกัน มีส่วนเนื้อกับขนมปัง ส่วนผักแล้วก็แคชเชียร์ ส่วนเนื้อก็จะรับผิดชอบถามว่าจะกินแซนด์วิชอะไร ใส่ขนมปังแบบไหน และกินแบบฟุตลอง (สิบสองนิ้ว) หรือฮาฟ (หกนิ้ว) คือขนมปังมีห้าแบบละ จะเรียงในตู้หลังเคาท์เตอร์ตามสเตปดังนี้คือ Italian หรือ White Bread จะเป็นขนมปังขาวที่เราเห็นกันทั่วไป (มั้ง) เสร็จแล้วก็ Wheat, Italian Herbs&Cheese, Honey Oat แล้วก็ Parmesan Oregano ส่วนอีไส้มันเนี่ย (ที่เราพยายามเล่นเกมอยู่กับหมิงแล้วก็ท่องยังกะจะเอาไปสอบอ่ะนะ) มีประมาณสิบกว่าไส้ได้ เกือบยี่สิบ ก็ต้องจำว่าใส่อะไรเท่าไหร่ เช่น Subway Melts ต้องใส่ Turkey 4/Ham 4/Bacon 4 ถ้าใส่ชีสด้วยก็ต้องถามอีกเอาชีสอะไร แล้วใส่ไปสี่ชิ้น ร้านเรามีชีสสี่แบบ American สามเหลี่ยม/Provelone ครึ่งวงกลม (เขียนไงไม่รู้แฮะ)/Swiss มีรู/Mix ฝอยๆ (เป็น cheddar แบบผสม) ใส่เสร็จก็ถามว่าจะให้อบไหม ถ้าไม่อบก็ส่งไปสเตชั่นผัก แต่ถ้าอบก็ต้องเอาไปอบ บางคนไม่อบ แต่กินไก่เงี้ย ไก่ก็ต้องเอาไปอุ่นในไมโครเวฟ เพราะว่าไก่มันเย็นเจี๊ยบเลย แต่ก็มีบางคนกินเย็นๆยังงั้นก็มีเหมือนกัน ในส่วนของผักก็จะมี ผักมากมายขี้เกียจจะสาธยาย ก็ต้องโรยไปตามเค้าบอก บางคนก็ชอบสั่งแบบเยอะๆๆๆ แต่พอจะปิดแซนด์วิชที โหย ไส้ทะลัก พอใส่ผักตามที่เค้าบอกเสร็จก็ใส่ซอส มีประมาณแปดชนิดมั้ง ก็จำไว้ว่าแบบที่มันเป็นน้ำๆใส่ผัก ครีมๆใส่เนื้อ เสร็จแล้วก็ถามว่าจะเอาท้อปปิ้งอะไรไหม บ้างคนเอาเกลือ พริกไทย ชีส ออริกาโน อะไรก็ว่าไป เสร็จแล้วจริงๆต้องถามว่าแซนด์วิชที่เราทำให้เค้าดูดีแล้วหรือยังด้วย แต่เราไม่กล้าถามเว้ย กลัวมันตอบว่ายังไม่สวย เดี๋ยวแม่งต้องทำใหม่ ฮ่าๆๆๆ การปิดแซนด์วิชแล้วห่อ เหมือนจะง่ายนะ แต่แบบต้องอาศัยทักษะเหมือนกันนะ ถ้าเป็นแบบฟุตลองปิดแล้วก็ต้องหั่นครึ่งด้วย บางทีไส้มันย้อยจริงๆ แต่เราก็แบบช่างมันเถอะ เพราะตอนปิดแซนด์วิชแล้วห่อ ลูกค้าจะไปจ่ายตังค์แล้ว ในส่วนของแคชเชียร์ก็จะถามว่าเออ เอาไรเพิ่มใหม่ เป็นเซตหรือเปล่า อะไรงี้ จริงๆเค้าก็สอนกดคร่าวๆละแต่เรายังไม่ได้รับอนุญาตให้กดอย่างเป็นทางการ ก็ห่อไปเถอะวันๆ งานก็จะประมาณนี้ทุกวัน ลูกค้าบางคนน่ารักมาก เห็นเราเอ๋อๆ ก็จะสั่งช้าๆชัดๆ ถามซ้ำก็ไม่ว่า ยิ้มไป มีคนนึงคงมาหลายรอบแล้วถามเราว่า "อ้าว ยังอยู่ช่วงเทรนอยู่อีกเรอะ" เอ่อะ นะ เค้าก็จะรู้แล้วก็ค่อยๆสั่ง แต่ก็มีลูกค้าบางคนเรื่องมากกก จนเราแบบ มาเลยเจ๊ เจ๊มาใส่เองเลยมั้ยคะะะ! มีคนนึงใส่แตงกวาดองหนึ่งชิ้นแบบหั่นครึ่ง เราแบบ ... เอ่อะ จะได้รสไหม หรือมันเป็นสูตรคุณนายแก ช่างเถอะ ทำแล้วก็ได้เห็นคนแปลกๆเยอะดี บางคนทำหน้ารังเกียจบอกเราว่า ไปเปลี่ยนถุงมือใหม่ได้ไหม =.= เราก็ไม่ว่าอะไรนะ แต่ตอนมันพูดฟังไม่รู้เรื่อง ฮ่าๆ (อย่าชวนคุยนอกเหนือเรื่องอาหาร ไม่งั้นจะไม่สามารถตอบโต้ได้) บางคนก็แบบขอมีดหั่นขนมปังสะอาดๆหน่อยได้ไหม ถ้าไปอยู่ไทยเรื่องมากแบบนี้ โดนอาฆาตแหงๆ แต่ที่นี่ไม่นะ แบบขอมาทำให้หมด เราก็ยิ้มใส่ทุกคนก่อนเลย อย่างน้อยถึงมันหิวกันมาแต่มันเห็นคนขายยิ้มมันก็คงยังปราณีอยู่บ้าง นอกเหนือจากงานตรงเคาท์เตอร์กับในครัวก็มีต้องไปเช็ดโต๊ะบ้าง ถูพื้นบ้าง คือต้องยุ่งตลอดเวลาไม่งั้นลุงเมเนเจอร์แกจะคาดโทษเอาได้

เพื่อนร่วมงาน
รู้สึกว่าเขียนยาวไปละ แต่เอาเถอะ ฮ่าๆๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อยากเม้าท์มากนะ เพราะเพื่อนร่วมงานก็เป็นจุดสำคัญที่ทำให้บรรยากาศของร้านเปลี่ยนไปได้เลยอ่ะ อิจฉาหมิงกับพี่มิ้มนะ เค้าแบบเพื่อนร่วมงานฟังดูน่ารักดี อาจจะได้ชั่วโมงทำงานน้อยกันไปหน่อย แต่เค้าดูแบบเฮฮา อายุก็พอๆกัน กลับก็มีคนมาส่งไรงี้ มีชวนไปเที่ยว คือมันก็มีบรรยากาศการทำงานที่ดีไง

แต่คือร้านเราอ่ะนะ คนละเรื่องเลย แบบทุกคนเป็นผู้ใหญ่เกือบทั้งหมด ยกเว้นริคที่น่าจะอายุพอๆกับเรา หรือน้อยกว่า อย่างเมเนเจอร์งี้ ถ้าอยู่คือร้านจะเครียดขึ้นมาทันทีในความรู้สึกเรา คือทุกคนจะแบบทำตัวยุ่งตลอด ทั้งๆที่มันก็ไม่มีไรต้องทำมากมายขนาดนั้น เวลาทำผิดเค้าจะไม่บอกตรงๆนะ ไม่ได้ดุด่าอะไร แต่ถ้าเค้ามองหน้านิ่งๆเมื่อไหร่ ให้รู้ตัวทันทีว่าแม่งมี something wrong แหงๆ คือเค้าเป็นคนดี เป็นคนเฮฮาด้วยบางที แต่เวลางานคือจริงจัง เราก็พยายามเข้าใจเพราะเค้าเป็นผู้จัดการด้วย เล่นมากก็ไม่ได้ แต่ไม่รู้ทำไมอยู่กับเค้าแล้วเราไม่สบายใจเลยซักนิดเดียว ภาวนาให้เค้าออกไปข้างนอกทุกวัน 555

อีกคนนึงที่เราได้ทำงานด้วย คือพูดง่ายๆเค้าเป็นเทรนเนอร์เรา คือ เจสสิก้า ก็ดูเป็นคนคล่องนะ เพราะทำงานมานานพอสมควร สองปีได้มั้ง ก็จะทำอะไรเร็วๆ คอยสอนนั่นนี่ แต่นอกเหนือจากเรื่องงานเค้าจะไม่ค่อยพูด ถามได้เค้าไม่ว่าอะไร คือเป็นคนที่โอเคแหละ แต่อาจจะด้วยอายุที่ต่างกัน แต่เพศเดียวกัน แล้วเค้าก็ค่อนข้างละเอียดบวกกับทำงานมานาน ทำให้เราแอบเกรงๆอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่ถึงขั้นลุงผู้จัดการไง อย่างน้อยเค้าก็ชิวกว่า

อีกคนคือ พ่อจักรยานเขียว หรือ ริค (ฮ่าๆๆ) ที่เรียกแบบนี้เพราะวันแรกที่เจอมันปั่นจักรยานเขียวมา หน้าตาโอเคเลยอ่ะ สำหรับเราถือว่าดูดี แต่งตัวก็ฮิปฮอปนิดๆ แรกๆที่ได้ทำงานด้วยกัน เกลียดมันมากกก นรกที่สุด คือมันไม่พูดไม่จาอะไรกับเราเลย ทิ้งเราทำงานไป มันก็คุยกับคนอื่นไป แต่ถ้าคนอื่นไม่อยู่มันก็จะหาเรื่องไม่อยู่กับพวกเราเหมือนกัน นิ่งๆเงียบๆไปเลย ตอนแรกเรากับพี่ออมก็แบบ อีตานี่ มนุษยสัมพันธ์แย่จริงๆ มีวันนึงที่ต้องทำงานกับมัน ตอนแรกเราแบบ เอี้ย ใครก็ได้ แต่ไม่ใช่ไอ้นี่ด้วยเถอะ ได้โปรดดด ก็เกลียดขี้หน้ามันไปประมาณสองสามวัน แต่พอได้ทำงานจริงๆมันก็เป็นคนใช้ได้ แถมเป็นคนที่ทำให้บรรยากาศการทำงานไม่เครียดด้วย คือเราเดาว่ามันก็คงเป็นคนขี้อายอ่ะ ไม่กล้าทักไม่กล้าคุยกับเรา เพราะเราอยู่กันสองคน ชอบคุยจุกจิกกันเป็นภาษาไทย แต่พอได้ทำงานด้วยกัน มันช่วยตลอดนะ เราก็หลังๆถามมันริคนี่กดอะไร ริคนี่ใส่อะไร เป็นคนใช้ได้เลยล่ะ เรียกเราอะไรนะ ... ออมมี่ โฮมมี่อะไรของมัน ก็เลยรู้สึกเออ ก็เริ่มคุ้นเคยกันแล้วมั้ง อย่างน้อยมีมันก็ทำให้ฮาได้ ไม่ต้องเครียด

สุดท้ายที่ได้รู้จักในร้าน เป็นฮีโร่เรามาก คือเดวิด หรือพ่อหัวฟ้า จริงๆเค้ายอมตรงกลางหัวเค้าเป็นสีน้ำเงินนะ แต่เราว่าสีน้ำเงินมันเรียกยากไป เรียกหัวฟ้านี่แหละ ฮ่าๆๆ เค้าก็จะผมยาว พูดน้อย ตอนแรกเราก็แบบ นี่ฉันต้องทำงานกับมนุษย์ผู้นี่หรือ วันๆจะได้พูดบ้างไหม ... พอเอาเข้าจริงก็ไม่ได้พูดแหละ ฮ่าๆๆๆ แต่เค้าดีมาก มาชวนคุย เหมือนเค้าก็เพิ่งเริ่มงานได้ไม่กี่เดือน ก็คงเข้าใจเราอ่ะ ชอบบอก เนี่ยทำได้ดีแล้วจริงๆนะ บางทีก็ถาม เครียดไหม เป็นอะไรหรือเปล่า เห็นเราหน้าแย่ๆก็ถามตลอด เราเลยรู้สึกดีว่า เออ ถ้ามีคนนี้แล้ว เราคงไม่เป็นไร เค้าก็บอกมีไรถามได้ตลอดนะ คอยบอกโน่นนี่ให้เรา พยายามจะชมส่วนที่เราทำได้ดีอ่ะ แล้วก็บอกก่อนหน้านี้เค้าก็โดนมาเยอะเหมือนกัน อาทิตย์หน้านี้เค้าอยู่ปิดร้านตลอดเลย คือเราทำงานกับพี่ออมสลับกันแล้วไง แล้วต้องอยู่ปิดร้าน เรายังคิดในใจ กุจะกลับยังไง ร้านปิดห้าทุ่ม รถหมดทุ่มนึง แต่นึกไปถึงเค้าอ่ะ เค้าต่อรถตั้งสองต่อ แล้วรถก็หมดเหมือนกัน แล้วเค้าจะกลับยังไง ไหนยังจะต้องมาดูแลเราอีก คือ ก็รู้สึกดี เหมือนว่าการที่เค้ายอมทำตรงนี้ มันก็ทำให้เรารู้สึกอุ่นใจว่า เออ ดึกไม่เป็นไรวะ ทำกับเดวิด มีครั้งนึงที่เราทำไปแล้วแย่อ่ะ วันที่ทำเนื้อแรกๆ เค้าก็มาบอก ทำไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็ดีขึ้น เร็วขึ้น วันนี้ก็ทำเร็วขึ้นแล้วนะ ขออย่างเดียวนะ อย่ายอมแพ้ เราาแบบ โถ พ่อหัวฟ้า ช่างเป็นคนดีจริงๆ ก็ถึงจะพูดน้อย แต่เค้าเป็นคนช่างสังเกตและเข้าใจคนอื่นดีมากนะ เป็นคนเดียวที่เล่าเรื่องตัวเองให้เราฟัง และถามเรื่องของเรา ถ้าได้ทำงานกับเค้าก็ดีอ่ะแหละ ดีใจเหมือนกันที่อาทิตย์หน้าได้ทำงานกับเค้าซะเป็นส่วนใหญ่ อย่างน้อยก็ไม่มีใครคอยจ้องจะคาดโทษ เหอๆๆๆ แค่ทำกับลูกค้ามันก็กดดันพอละไง มาเจอคนในร้านกดดันอีก เราแบบ จะเป็นบ้าแล้วโว้ย แต่เดวิดจะช่วยตลอด แนะนำโน่นนี่ ก็คล้ายๆริค แต่ริคไม่ค่อยแนะนำ หยิบไปทำเลย เพราะมันทนดูเราทำไม่ได้ คงเกะกะลูกกะตามัน 555 เดวิดจงเจริญ =.=

สรุปนะ งานนี้ยากเป็นสองเท่าสำหรับเรา นอกจากจะต้องดีลกับลูกค้า จำเมนูและทำแซนด์วิชให้ได้แล้ว เรายังต้องฟังลูกค้าให้รู้เรื่องด้วย คือเรื่องภาษาก็สำคัญมาก ถ้าลูกค้าดีก็ดีไป แต่ถ้าลูกค้าเรื่องมาก ขี้หงุดหงิดหน่อย เราก็ต้องทนให้ได้ เรียกหาตัวช่วยตลอดเว 555 ฮืออ ก็ต้องสู้ต่อไป ยังไม่ยอมแพ้หรอก ถึงแม้จะเหนื่อยมาก และเครียดมาก แต่จริงๆมันก็เป็นงานที่สนุกดีเหมือนกัน ชอบนะ แต่ก็รู้สึกว่าเออ มันกดดันไปหน่อยนึง เดี๋ยวคงชิน ร้านนี้ดีอย่างคือ ให้ชั่วโมงเราชัดเจน พยายามเบียดตารางกับลูกน้องคนอื่นๆให้เราได้ชั่วโมง ถึงจะไม่เยอะขนาดแบบแปดชั่วโมง แต่ก็ค่อนข้างเยอะและเป็นระบบดี เพราะไปดูๆแล้ว พนักงานคนอื่น ชั่วโมงก็โดนลดเหมือนกัน เหมือนกับต้องแบ่งมาให้เราไรงี้ ก็ถือว่าดีแหละ เราก็จะสู้ต่อไป เพื่อให้คนอื่นๆยอมรับให้ได้! (เรื่องเงินนี่เลิกพูดไปเลย ขาดทุนย่อยยับ กินเยอะมากกกเดี๋ยวนี้ ฮ่าๆๆ)