martes, 2 de septiembre de 2014

Septiembre y El Sueño Robado

El tiempo pasa volando.
Ya estamos en el mes de septiembre.

Como ya he empezado mi estudio de máster, quiero aprovechar este espacio tan personal para mejorar mi español. Y el tema de hoy trata del sueños robado.

¿Quién me ha robado el sueño?
Para contestar esta pregunta, tengo que empezar desde el principio.

Tengo un sueño. 
No es un sueño secreto pero tampoco es el sueño que voy anunciando en público para que todo el mundo lo sepa.

Bueno, si me conoces, ya sabes qué es. 
Quiero ser escritora. 

Hace unos días hablé con una amiga que también le gusta mucho escribir y también quiere ser escritora.
Ella me pasó un link de noticia. La noticia era sobre una escritora que nosotras dos conocemos. Era una de nuestras compañeras de facultad.
Leí su entrevista y eso me dio un dolor profundo que poco a poco se difundía por todo el cuerpo.
Ahora casi no paso yo por la sección de los libros tailandeses en la librería. Porque eso también me duele. 

Yo también quiero que se vendan mis libros en la librería.
Pero ahora es imposible porque nunca en mi vida he terminado mi escrita. Nunca.
Es muy difícil y no tengo paciencia. 
Tengo tantas excusas que si las pongo juntas, podré escribir un libro con más de 500 páginas. 
 

Ahora ya sabes quién me ha robado mi sueño.
Sí. Yo misma. 

Una verdad amarga ¿no?




 
 

viernes, 18 de julio de 2014

ประสบการณ์สอบโทเฟล :)

ตั้งใจจะเขียนเล่าประสบการณ์การสอบโทเฟลตั้งแต่หลังจากสอบเสร็จใหม่ๆ แต่ด้วยอะไรก็ไม่รู้มากมายในช่วงนั้น ทำให้ไม่ได้นั่งเขียนประสบการณ์ตัวเองสักที จนวันนี้ วันที่รับทราบผลสอบปริญญาโทเรียบร้อยแล้ว เลยคิดว่าเอาเรื่องสอบโทเฟลกลับมาเล่าหน่อยดีกว่า

เตรียมตัวยังไงบ้าง?

สิ่งที่ฝึกเยอะหน่อย คือ ส่วนฟังกับอ่าน เพราะเป็นคนที่ฟังชาวบ้านพูดไม่รู้เรื่อง ก่อนสอบไม่กี่วันถึงมาฝึกพูดโดยการจับเวลา แต่เรื่องเขียน บอกตรงๆว่าไม่ได้ดูไปเลยสักนิด ไม่ใช่ว่าหย่ามใจ แต่มันเป็นการฝึกที่เสียเวลามากสำหรับเรา และเราไม่สามารถให้คะแนนตัวเองได้ ก็เลยข้ามๆไปไม่ได้ฝึก แค่ดูว่าต้องเขียนกี่บทความ แค่นั้นเอง

สมัครสอบยังไง?
ง่ายมาก แค่ต้องมีบัตรเครดิต เข้าไปที่ www.ets.org แล้วลงทะเบียนกับทางเว็บ กรอกข้อมูลทุกอย่างให้เรียบร้อย เลือกวันเวลาและสถานที่สอบ ตรวจเช็คข้อมูลต่างๆให้ดี เพื่อกันความผิดพลาดในภายหลัง แล้วกรอกข้อมูลบัตรเครดิต ตัดได้เลย ง่ายฝุด

เลือกสถานที่ที่สอบยังไง?
ตอนแรกเราไม่ได้สนใจเลยนะว่า เออ ที่สอบจะมีผลกับเราขนาดนั้นเลยหรอ เพราะคิดว่าสอบที่ไหนๆก็คงเหมือนกัน ปรากฏว่าจริงๆแล้ว "ที่สอบมีผลมากนะ" เพราะเป็นการสอบแบบ Internet Based ฉะนั้นระบบมันควรจะดี อุปกรณ์ควรจะพร้อม เพราะความผิดพลาดเล็กๆน้อยๆเหล่านั้น มีผลกับคะแนนของเราทั้งหมด บางคนไมค์ที่ใช้พูดไม่ดัง ทำๆอยู่อินเตอร์เน็ตล่ม ฯลฯ เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ ก่อให้เกิดความไม่สบายใจกับเราทั้งสิ้น อย่าคาดหวังว่าศูนย์สอบทุกที่จะมีความพร้อมเหมือนกันหมด เราอ่านรีวิวต่างๆเยอะมาก แต่ด้วยเรื่องวันสอบที่จำกัดประกอบกับเพื่อความสะดวกในการเดินทาง เราเลยเลือกๆไปก่อน เน้นเดินทางสะดวก

วันสอบ
เราไปถึงประมาณ 8.20 น. พอมีเวลาทำโน่นนี่ แต่ปรากฏว่า สนามสอบคืนก่อนหน้านั้นฝนตก (?) ทำให้สัญญาณเน็ตวันต่อมาไม่เสถียร ตอนแรกก็คิดๆละ ลางไม่ค่อยดีเลยแฮะ ... สรุปแล้ววันนั้น ไม่ได้สอบเลย นั่งรอสัญญาณเน็ตถึงสิบเอ็ดโมง โคตรโมโห 55555 กลายเป็นว่าต้องมาสอบใหม่ สยองมาก มันทำให้รอบต่อมาเราระแวงสุดๆว่า เอ๊ะ แล้วเราจะได้สอบมั้ยวะ แล้วทำๆอยู่มันล่มแบบกู่ไม่กลับจะทำยังไง และบลาๆๆๆๆ คือถ้าเป็นในกรณีที่มีปัญหาแบบนี้ ทางโน้นยืนยันให้เรากลับบ้านได้ เค้าจะ reschedule ตารางใหม่มาให้เราเอง และเราสามารถเปลี่ยนเองได้อีก 1 ครั้ง แบบไม่เสียเงิน เผื่อว่าวันที่เค้านัดใหม่เราไม่ว่าง (ซึ่งเราก็ไม่ว่าง แต่ชีวิตทางเลือกไม่เยอะแงะะะ) เราก็ไม่ได้เปลี่ยนนะ สรุปก็ไปสอบหลังจากนั้นอีกสองอาทิตย์ สอบที่เดิม เซ็งสุด 5555

วันสอบ (จริง)
โชคดี วันสอบอีกรอบราบรื่น มาถึงก็ลงทะเบียนก่อนเหมือนเดิม ถ่ายรูป รอเรียกขึ้นห้อง พอนั่งประจำที่ คีย์ข้อมูลนิดหน่อย ล็อคอิน เทสต์เสียงไมค์และหูฟัง ซึ่งตอนแรกไมค์เราไม่ดัง คิดในใจ กูอีกแล้ว ทำไมกูถึงประสบความล้มเหลวด้านเทคโนโลยีขนาดนี้ สุดท้ายเวลาพูดต้องจับไมค์จ่อที่ปากตลอดเวลา พูดกับคอมว่าไม่เป็นธรรมชาติแล้ว มานั่งจับไมค์จ่อปากตลอด ยิ่งไม่เป็นธรรมชาติยิ่งกว่า อนาถตัวเอง

เวลาสอบเค้ามีทุกอย่างให้ ไม่ต้องเตรียมอะไรไปเลย ยกเว้นเสื้อหนาว 555 ในกรณีเป็นคนขี้หนาวแบบเรานะ การสอบของเราจะแบ่งเป็นอ่านกับฟังก่อน (ประมาณสองชั่วโมง) แล้วเบรคสิบนาที ค่อยมาทำพูดกับเขียนต่อ (อีกประมาณสองชั่วโมง) ควรเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยนะ เพราะเมื่อกดล็อคอินทำข้อสอบปุ๊บเวลาทางมุมขวาบนจะเริ่มเดินถอยหลังทันที ถ้าเราจำไม่ผิดในพาร์ทอ่านของเรามี 3 พาร์ท ไม่ยากมาก ถามเกี่ยวกับข้อมูลทั่วไป หาเจอได้ใน text เป็นบทความเชิงวิชาการหน่อย ก็เป็นเรื่องรอบตัว เช่น สิ่งแวดล้อม ดาราศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เวลาสอบมันจะมีให้เราย้อนกลับไปดู text ได้ ถ้าเราอยากรีวิวหรือแก้ไขคำตอบข้อไหนภายใน text เดียวกัน ก็สามารถทำได้ แต่ถ้าเราเปลี่ยนไปอ่าน text ถัดมาแล้ว จะกลับไปแก้ไขคำตอบอะไรใน text ก่อนหน้านี้ไม่ได้อีก

พาร์ทฟัง เราจำไม่ได้ว่าเราฟังไปเท่าไหร่ แต่บอกเลยว่า ฟังจนเพลียมากกกกกกกกก คือ ทำไปจนคิดว่านี่ยังไม่จบอีกหรอ กุจะหลับแล้วนะ ฟังได้แค่ครั้งเดียว ต้องจดเอา แล้วค่อยมาตอบคำถาม ซึ่งสำหรับเรา คิดว่าบางทีก็ถามรายละเอียดยิบย่อยมาก (คือ กุมิได้จดมาาา) เป็นรายละเอียดที่เราไม่ได้สนใจ แต่เค้าก็ดันถาม พาร์ทนี้ก็ไม่พ้นบทสนทนาระหว่างอาจารย์กับนักเรียน การอภิปรายต่างๆในห้องเรียน การเลคเชอร์ของอาจารย์ โดยหัวข้อก็เป็นหัวข้อวิชาการคล้ายๆพาร์ทอ่านเลย แต่มันอาจจะเป็นรายละเอียดที่ซอยลึกลงไปในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หัวข้อหัวข้อหนึ่งไปเลย ซึ่งสำหรับเรา เราว่าพอฟังออกและทำความเข้าใจได้ แต่มันไม่ถ่องแท้ เพราะนึกภาพตามไม่ออกจริงๆ ถ้าไม่ได้มีความรู้เรื่องนั้นมา

พอทำพาร์ทนี้จบ นาฬิกาจะเริ่มจับเวลาเบรคเราสิบนาที พอครบสิบนาที ผู้คุมสอบก็จะมาคีย์พาสเวิร์ดให้เรากลับไปทำพาร์ทพูดกับเขียน

พาร์ทพูดคือ  เกือบลืมจับไมค์ให้ดีๆ ตื่นเต้นมาก ไม่เป็นธรรมชาติเลย คือ พอเราเห็นหรือฟังโจทย์ปุ๊บ ก็จะมีเวลาให้เราคิด (ไม่ถึงนาที จับเวลาด้วย) พอหมดเวลาคิดก็จะให้เราพูดโดยจับเวลาอีก (แล้วแต่ว่าไม่เกิน 45 วิ หรือ 60 วิ) คือ มันไม่เป็นธรรมชาติจริงๆนะ แต่ก็ต้องถูไถพูดไปจนจบ ก่อนเราจะพูดตอบคำถาม ก็อาจจะมีให้เราอ่านเท็กซ์ก่อน อ่านจบแล้วค่อยฟังต่อ แล้วเค้าก็จะมีคำถามที่เชื่อมโยงระหว่างเท็กซ์กับสิ่งที่เราฟังไป มีให้ฟังแล้วสรุปว่าสิ่งที่ได้ฟังคืออะไร บวกกับแสดงความเห็นนิดหน่อย (ถ้าเป็นเราจะทำยังไง อะไรประมาณนี้) หรืออาจจะเป็นการถามคำถามทั่วไป ให้เราตอบตามความคิด ทำนองนี้

พาร์ทเขียน มีสองข้อใหญ่ๆ เลย คือ ให้อ่านบทความ ฟังเลคเชอร์ แล้วเขียนสรุป (หรืออะไรแล้วแต่ ตามที่โจทย์ต้องการ) อีกพาร์ทคือเขียนเรียงความแนวเห็นด้วยไม่เห็นด้วย เสนอแนวคิดเรา ความคิดเรา ยกเหตุผลมาซัพพอร์ต ประมาณนี้

สิ่งที่เราชอบสุดคือ การเขียน เพราะมันถนัดมือมาก ลบแล้วเขียนใหม่ได้ ไม่ต้องกลัวกระดาษเละเทะ นอกนั้นสอบอ่านกับพูด เราว่ามันแปลกๆอยู่เหมือนกัน เวลาสอบกับคอมเนี่ย

คะแนน
ตอนสมัคร เค้าถามเลยว่าจะให้เราส่งคะแนนไปให้ที่ไหนบ้าง ถ้าเราจะให้คะแนนส่งตรงไปที่มหาวิทยาลัย เราต้องแจ้งไปเลยตั้งแต่ตอนนั้น จำไม่ได้ว่าส่งฟรีได้กี่ที่ ไม่งั้นต้องเสียเงินส่งไปทีหลัง (มหาวิทยาลัยต่างประเทศหลายที่รับตัวจริงอย่างเดียว ไม่รับก้อปปี้ เค้าจะรับเฉพาะคะแนนที่ส่งมาจากศูนย์สอบเท่านั้น) เราเลือกส่งให้ตัวเองอย่างเดียวนะ เพราะคิดว่าที่ไทยไม่น่าจะต้องขนาดนั้น เค้าจะมีตารางบอกว่าสอบวันนี้ คะแนนจะโพสต์ลงเว็บเมื่อไหร่ พอคะแนนโพสต์แล้วก็จะส่งเมลมาแจ้งด้วย แต่ใบคะแนนตัวจริงต้องรอเป็นเดือน จนบัดนี้เราก็ยังไม่ได้ 55555

ถามว่าพอใจคะแนนมั้ย ก็โอเค ไม่ได้แย่ แต่ก็แอบอยากได้มากกว่านี้อีกสักนิด
Overall ของเราคือ 96
Reading: 26 (High)
Listening: 23 (High)
Speaking: 26 (Good)
Writing: 21 (Fair)

อ้างอิงดูการแปลงผลคะแนนได้จากเว็บไซต์ของโทเฟลตรงนี้ http://www.ets.org/toefl/ibt/scores/understand/

แต่เราคิดว่าสกิลของเราก็มีเท่านี้ล่ะนะ ใจจริงอยากได้ Writing มากกว่านี้หน่อย เพราะเราคิดว่าเราน่าจะทำได้ดีกว่านี้ อันนี้ออกจากห้องสอบมารู้ตัวแหละ ว่าเขียนได้ไม่โอเคเลย ที่เซอร์ไพรส์คือ พูด ไม่คิดว่าจะได้เยอะขนาดนั้น เพราะเราว่าเราพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง เหมือนวกไปวนมามากกว่า แถมคะแนนแบบข้อย่อย เราได้คะแนนเยอะในส่วนที่ไม่มั่นใจมากๆ ก็เลยงงว่า คือ ยังไง เค้าต้องการคำตอบงงๆแบบนั้นหรอ 5555

เอาเป็นว่าการสอบก็จบลง ตอนนี้เหลือแค่ใบคะแนนอย่างเดียว
เอาจริง ไม่ค่อยอยากได้รูปโทรมๆที่ถ่ายแปะไปบนใบผลสอบสักเท่าไหร่เลยนะ 55555

sábado, 21 de junio de 2014

มหากาพย์แดนกระทิง :: บิลเบาวันที่หนึ่ง (The Very First Day in Bilbao, Spain)

เราเชื่อว่าคงมีคนไม่น้อย ที่ได้ออกเดินทางไปเห็นโลกกว้างแล้ว อยากจะกลับมาบันทึกเรื่องราวเหล่านั้นเก็บไว้เป็นความทรงจำดีๆ และแบ่งปันให้ชาวโลกได้อ่านเรื่องราวของตัวเองบ้าง

เราเองก็คิดแบบนั้นนะ และคิดอยากทำมานานมากแล้วตั้งแต่เริ่มเดินทางใหม่ๆ วันนี้นึกครึ้มอกครึ้มใจ เลยตัดสินใจหยิบเรื่อง "มหากาพย์แดนกระทิง" ของเรามาลงบล็อค ตั้งใจว่ายังไงก็จะเขียนให้ครบทุกเมืองที่รองเท้าเน่าๆของเราได้เหยียบย่างไปถึง เพราะสเปนเป็นประเทศที่เราประทับใจมากประเทศหนึ่ง เป็นประเทศที่เราได้เที่ยวตามแบบที่เราชอบจริงๆ ได้วางแผนเอง ได้ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง เลยคิดว่าการมาแบ่งปันให้ใครได้อ่าน อาจจะช่วยจุดประกายให้คนๆนั้นได้ออกเดินทางไปตามเส้นทางที่ได้วางแผนไว้ตั้งแต่ชาติปางก่อนบ้างก็เป็นได้

โอเค ไม่อารัมภบทนาน 
ตัดฉากไปบนรถทัวร์ที่มุ่งหน้าออกจากกรุงมาดริดค่ะ... 

ออกนอกเมือง


เมืองแรกที่เราจะมุ่งหน้าไปชื่อเมืองบิลเบา (Bilbao) ตั้งอยู่ในแคว้น País Vasco หรือแคว้นบาสก์ หลายคนรู้จักกันดีเพราะเป็นแคว้นที่มีข่าวอยากแยกตัวออกมาตั้งประเทศเองใจจะขาดอีกแคว้น นอกเหนือไปจากแคว้นกาตาลุนญ่า ที่ตั้งเมืองบาร์เซโลนา

บิลเบาสำหรับเราเหมือนสาวชิคๆคนนึงที่หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีของตัวเอง ก็จะไม่ให้หยิ่งได้ยังไง ในเมื่อแคว้นบาสก์เป็นหนึ่งในแคว้นที่ร่ำรวยและทำเงินเข้าประเทศได้มากที่สุด มีภาษาใช้ของตัวเอง อีกทั้งภาษานั้นยังเป็นภาษาที่ไม่ได้มีรากเดียวกับภาษาสเปนด้วย ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนนี้ทำให้คนบาสก์ไม่รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับสเปนเอาเสียเลย 

รถทัวร์จากมาดริดไปบิลเบาใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง เราออกเดินทางกันตั้งแต่เก้าโมงเช้า ถึงบิลเบากันตอนบ่าย พร้อมเช็คอินเข้าที่พักได้พอดิบพอดี (แต่ชีวิตจริงของพวกเราไม่ได้รวดเร็วง่ายดายขนาดนั้น) 
ตลอดการเดินทางเราใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการหลับ คณะเดินทางของเรามีกันห้าคน และเราดันอาสาไปนั่งกับใครที่ไหนก็ไม่รู้ ทันทีที่ขึ้นรถก็เลยได้แค่หลับปุ๋ยไปตามสภาพ ลืมตาขึ้นมาก็เห็นแค่แผ่นดินเรียบๆแบนๆ มีเนินเล็กน้อย มีทุ่งหญ้าสีทอง สีเขียว สีน้ำตาล สลับกันไปมาเหมือนภาพตัดแปะที่เด็กอนุบาลฝึกทำในชั่วโมงศิลปะ เราชอบนะ เราชอบความสะเปะสะปะของภูมิทัศน์นอกเมืองใหญ่ในสเปน มันดูแห้งแล้ง เวิ้งว้าง แต่ก็ดูมีศิลปะอยู่ในที 

รถทัวร์ของเราจอดแวะพักหลายจุดอยู่เหมือนกัน พวกเราก็เดินขึ้นๆลงๆ กะแค่ลงไปเหยียดแข้งเหยียดขาเป็นพอ และหลังจากที่งีบหลับไปหลายรอบ พวกเราก็มาถึงจุดหมาย...

พระอาทิตย์ยิ้มแฉ่ง

แวบแรกที่เห็นบิลเบา รู้สึกเหมือนเมืองนี้เป็นเมืองที่ซุกซ่อนอยู่ในหุบเขา ทั้งที่จริงๆแล้วมันไม่ได้ลึกลับซับซ้อนอะไรขนาดนั้น เพราะตัวเมืองก็ใหญ่พอตัว เห็นภูเขาอยู่ไกลลิบ ไม่ใช่เมืองเล็กๆกระจุ๋มกระจิ๋มตั้งอยู่บนเขาแบบเมืองยุโรปสวยๆเขาเป็นกัน แต่เราก็รู้สึกถึง "ความเป็นส่วนตัว" ที่บิลเบาพรีเซ้นท์ตัวเองให้เราเห็นตั้งแต่ลืมตานะ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ตัวเมืองบิลเบามีแม่น้ำ Nervión ตัดผ่าน ฟากหนึ่งของแม่น้ำคือย่านใจกลางเมือง เป็นที่ตั้งของร้านรวง พิพิธภัณฑ์ ร้านอาหาร และสถานทางราชการที่สำคัญต่างๆหลายแห่ง ส่วนอีกฟากของแม่น้ำ คือ Casco Viejo หรือ ย่านเมืองเก่าของบิลเบา  

เมื่อลงมาจากรถ อย่างแรกที่พวกเราทำคือ ซื้อตั๋วเตรียมไปเมืองอัสตูเรียสต่อ โดยซื้อกันจากตู้ขายตั๋วอัตโนมัติที่สถานีรถบัส เลือกที่นั่งกันได้เลยเรียบร้อย เมื่อซื้อตั๋วเสร็จ พวกเราค่อยเดินลงมาขึ้นรถไฟใต้ดิน เพื่อเดินทางไปยังที่พัก

รถไฟใต้ดินของบิลเบาสะอาดใช้ได้ ชานชาลาโปร่ง โล่ง สว่าง เพดานสูง ชวนให้คิดถึงถ้ำที่ได้รับการปรับปรุงให้กลายเป็นห้องทดลองวิทยาศาสตร์เหมือนที่หนัง Sci-Fi หรือหนัง Superhero เขามีกัน 

รถไฟใต้ดินบิลเบาโล่ง (อาจเป็นเพราะไม่ใช่เวลาเร่งด่วน แถมยังเป็นช่วงวันหยุดยาวอีสเตอร์ด้วย) คนบางตา ไม่จอแจ ให้ความรู้สึกเหมือนนั่ง MRT ที่ไทยกลับบ้านตอนห้าทุ่ม จากสถานีรถบัสใช้เวลาเดินทางไม่นานเราก็ถึงสถานี Deusto อันเป็นที่หมาย เราขึ้นจากใต้ดินมาจ๊ะเอ๋กับแดดยามเที่ยงที่ขยันส่งคลื่นความร้อนลงมายังเปลือกโลกและปล่อยพลังแสงอย่างเต็มที่ ราวกับรู้ว่าวันต่อๆมาจะไม่มีโอกาสได้ออกมาเริงร่าเต็มที่อีกแล้ว 

พวกเรากางแผนที่ มองซ้ายมองขวา ความหิวที่โจมตีกระเพราะและความเหน็ดเหนื่อยจากการนั่งรถทำให้เรารู้สึกว่าทางเดินต่อไปที่พักช่างห่างไกลเสียเหลือเกิน เราเดิน เดิน เดิน เดินจนขาลากก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าโฮสเทลของเราจะแอบอยู่ตามมุมตึกที่ไหน ขณะที่กำลังรู้สึกว่าหลงทาง เราก็แทบไม่ต้องหาตัวช่วยที่ไหนไกล คุณลุงคนหนึ่งที่เดินอยู่แถวนั้นเห็นท่าทีเก้ๆกังๆของเราทั้งห้า ก็ขันอาสามาช่วยเราดูทางอย่างกระตือรือร้น 

พวกเราทั้งห้ามาถึงที่พักอย่างปลอดภัย รู้สึกปลื้มใจในความเป็นมิตรของคนเมืองนี้กันตั้งแต่เริ่มทริป ที่พักของพวกเราในคืนนี้ คือโฮสเทลที่มีชื่อว่า 'Bilbao Akelarre Hostel' เป็นโฮสเทลขนาดไม่ใหญ่มาก กำแพงด้านนอกทาสีเทาทึมๆ มีลายเป็นรูปแมวตัวใหญ่สีดำ รูปแม่มด นกฮูก ฯลฯ แซมด้วยสีแดงเล็กๆ พอให้ดูสดใส มองเผินๆเหมือนจะกลมกลืนไปกับกำแพงที่โดนพ่นสีของตึกแถวนั้น ภายในโฮสเทลตกแต่งด้วยโทนสีดำ แดง ขาว เป็นหลัก มีเคาท์เตอร์เล็กๆของ reception มีครัวเล็กๆ มีโซฟานั่งเล่นพร้อมทีวี  มีมุมเก็บแผนที่-ไกด์บุคให้นักท่องเที่ยวได้อ่าน สำหรับคนที่ต้องการใช้คอมพิวเตอร์ที่นี่ก็มีให้ใช้ แต่สำหรับเรามีไอโฟนเครื่องเดียวกับ Wifi เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

ห้องพักของเราจริงๆแล้วเป็นห้องแบบพักได้ 8 คน แต่เนื่องจากพนักงานใจดีมาก จึงอัพเกรดห้องให้เราเป็นห้องสำหรับ 6 คนแทน และเนื่องจากพวกเรามีกันตั้ง 5 คน จึงเสมือนว่ายึดห้องนั้นเป็นของตัวเองไปเลย วะฮะฮะฮ่ะ 

ห้องพักเป็นเตียงสองชั้นสามเตียง ไม่ใหญ่นัก พอพักได้สบายๆ พวกเรารื้อสมบัติกันอย่างวุ่นวายเกลื่อนห้อง ลืมไปเสียสนิทว่าอาจจะมีคนที่เดินทางคนเดียวมาเข้าพักห้องนี้อีกคนก็ได้ เพราะห้องเรายังมีเตียงว่างอยู่หนึ่งเตียง แต่ก็โชคดีไปว่าไม่มีใครมาพักเพิ่มในห้องของเรา เตียงนั้นจึงกลายเป็นที่วางของและราวตากผ้าไปโดยปริยาย ... 

ห้องน้ำของโฮสเทล เป็นห้องน้ำแบบรวม ส่วนตัวเราไม่มีปัญหา ปกติก็ไม่ค่อยอาบน้ำอยู่แล้ว (หะ?) และตอนไปอาร์เจนตินา เคยพักห้องรวม อาบน้ำห้องรวมเหมือนกัน ชีวิตสมบุกสมบันกว่านี้อีก (อาบน้ำรวมหมายถึงต้องใช้ห้องน้ำร่วมกับคนอื่นนะ ไม่ใช่ใส่กระโจมอก หิ้วขันพร้อมแปรงสีฟัน ไปอาบรวมกับชาวบ้านแบบนั้น) 

หลังจากสำรวจห้องพักและนั่งกันจนหายเมื่อยแล้ว พวกเราก็เตรียมตัวออกเดินทางสำรวจเมืองกันต่อ เจ้าหน้าที่ของโฮสเทลกางแผนที่พร้อมอธิบายสถานที่ต่างๆที่เราควรไปเยี่ยมชมอย่างคร่าวๆ พวกเราถามร้านอาหารอร่อยๆเผื่อเอาไว้มื้อเย็นด้วย กะว่าวันนี้บิลเบาคงจะคึกคักต้อนรับพวกเราเป็นแน่ แต่เจ้าหน้าที่แอบเตือนเราไว้ก่อนแล้วว่า เมืองจะเงียบเหงากว่าปกติ เพราะช่วงนี้ยังเป็นช่วงหยุดอีสเตอร์

ถึงได้ยินแบบนั้นก็ไม่หวั่นค่าาา พวกเราแพลนกันคร่าวๆว่าวันนี้จะเดินรอบๆเมืองก่อน พรุ่งนี้ค่อยไปเที่ยวไฮไลท์ของเมืองซึ่งก็คือ พิพิธภัณฑ์กุกเกนไฮม์ (Giggenheim) พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยที่มีความโดดเด่นเป็นตัวตึกทรงประหลาด ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ภายนอกอาคารสะท้อนกับแดดวิบวับ ดูสวยแบบประหลาดๆ แต่ก็ถือว่าไม่ได้ขัดหูขัดตาแต่อย่างใด อาจเพราะบริเวณนั้นไม่ได้มีอาคารเก่าๆมากมายนัก สไตล์ล้ำสมัยของอาคารกุกเกนไฮม์จึงดูกลมกลืนไปกับทิวทัศน์บริเวณนั้นเป็นอย่างดี 

เราเดินข้ามแม่น้ำมา ไม่ได้มีเป้าหมายชัดเจนกันแต่อย่างใดว่าจะไปที่ไหน ก็ได้แต่ถ่ายรูปข้างทางไปเรื่อย สุดท้ายไปหยุดโพสท่าถ่ายกันจนสะใจกลางจตุรัส (Plaza) ใหญ่กลางเมือง ชื่อว่า Federico Moyúa ดอกไม้ที่ปลูกไว้รอบๆจตุรัสเริ่มจะบานสวย มีหรือเราจะรีบผ่านจุดนี้ไปง่ายๆ (ไม่ใช่อะไร คือ เดินและโพสท่ากันมาจนเมื่อยแล้วด้วย ฮ่าๆ ขอพักแป๊บ) 


ภาพถ่ายจากกลาง Plaza
รถเมล์เมืองนี้ชื่อน่ารักเชียว ชื่อ "บิลโบบุส" :)


ตอนนั้นเป็นช่วงเย็นพอสมควรแล้ว แดดไม่แรงมาก อากาศดี ผู้คนจึงออกมาเดินเล่นกันขวักไขว่ จตุรัสอยู่ท่ามกลางตึกสูงมากมาย จึงทำให้ไม่โดดแดดมากนัก เท่าที่พวกเรานั่งสังเกตกัน เมืองนี้ดูจะมีผู้สูงอายุอยู่มากพอสมควร แต่ละคนแต่งตัวดูดี ดูภูมิฐานมากจนพอเดาได้ว่าคนส่วนใหญ่ในเมืองนี้เป็นคนมีฐานะ 

ส่วนตัวเราแล้วเพิ่งจะมายุโรปเป็นครั้งแรก เลยไม่สามารถเปรียบเทียบได้ว่าบิลเบาเหมือนหรือแตกต่างจากยุโรปเมืองอื่นๆอย่างไร เรารู้แค่ว่าบิลเบาต่างจากเมืองอื่นๆในสเปนมากทีเดียว (อันที่จริงแคว้นแต่ละแแห่งของสเปนมีความโดดเด่นไม่เหมือนกันเลย นี่เป็นอีกจุดนึงที่ทำให้เราประทับใจสเปนมาก)

แม้ดอกไม้ที่จตุรัสจะเริ่มมีสีสันให้เราได้เห็นแล้ว แต่ต้นไม้รอบๆเมืองส่วนใหญ่ยังไม่ผลิใบเลย ต้นไม้ดูแห้งเหี่ยวและโดดเดี่ยวเหมือนอยู่ในฤดูหนาวไม่มีผิด แต่สารภาพตามตรงว่าเราชอบต้นไม้อารมณ์เหงาๆมากกว่านะ ต้นไม้แบบนั้นทำให้บิลเบาดูเป็นเมืองคลาสสิค 


บิลเบากับต้นไม้ที่ยังไม่ผลิใบ
พวกเราเดินผ่านศาลาว่าการของเมือง เดินผ่านตึกรามบ้านช่อง ชีวิตดูไร้จุดหมายกันมาก แม้จะพอมีร้านเครื่องสำอางเปิดให้พวกเรากรี๊ดกร๊าดอยู่เป็นระยะ แต่พวกเราก็พยายามจะข่มใจทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวผู้มีสาระ มองหาจุดหมายอื่นนอกเหนือการช้อปปิ้งต่อไป จนสุดท้ายเราตัดสินใจเดินไปหา Pintxo (ปินโช่) กินกันในย่านเมืองเก่าดีกว่า

พูดถึงอาหารขึ้นชื่อของแคว้นบาสก์ ทุกคนต้องห้ามพลาดชิม Pintxo (เหมือนพวกเรา T_T) เจ้า Pintxo ที่ว่านี้มีอยู่ตามบาร์ เป็นขนมปังสไลซ์เป็นแผ่น ส่วนใหญ่โปะหน้าด้วยปลา ไข่เจียวสเปน พริกยัดไส้ และอื่นๆเท่าที่แต่ละร้านจะสรรหาวิธีสร้างสรรค์เมนูขึ้นมาได้ แล้วเสียบยึดด้วยไม้จิ้มฟัน เวลากินจะได้สะดวก 

อย่างที่บอกไปแล้วว่าพวกเราตั้งใจจะไปชิม Pintxo กันในย่านเมืองเก่า พอเริ่มมีจุดหมาย ขาก็เริ่มก้าวออก (โดยเฉพาะจุดหมายที่เป็นอาหาร) แต่เดินกันวนรอบ Casco Viejo แล้ว ก็ยังไม่เห็นร้านขาย Pintxo สักร้าน ตัวเมืองเงียบเหงามากเหมือนเมืองร้าง มีบาร์เปิดอยู่บ้างประปรายตามซอกตึกมืดๆ แต่พวกเราไม่กล้าแวะ แค่เดินผ่านก็กลัวแล้วว่าจะโดนปล้นไหม เพราะแม้จะเป็นเมืองคนรวยอย่างบิลเบา แต่ก็ยังถือว่าเป็นสเปน ประเทศที่โจรขโมยมีเทคนิคในการขโมยแพรวพราวที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง 



Casco Viejo ที่เงียบเหงา

หลังจากสิ้นหวังกับเขตเมืองเก่า พวกเราตัดสินใจเดินเลียบแม่น้ำดีกว่า คิดไปเองว่าคงจะมีร้านอาหารดีๆเปิดอยู่บ้าง เราเดินกันจนมืดค่ำ หน้าชา ท้องร้อง สุดท้ายพระอาทิตย์ก็โบกมือลาโลก จนแล้วจนรอดก็ยังไม่เจอร้าน Pintxo สุดท้ายก็เลยตัดสินใจกันว่า เอาเถอะ กินอะไรก็ได้แล้วล่ะ ณ จุดนี้ แค่เดินลมยังจะพัดปลิว พอดีเหลือบกันไปเห็นร้านเคเอฟซี มีคนในกลุ่มเสนอว่า งั้นแวะกินเคเอฟซีเลยดีไหม 

... ทุกคนเงียบ ...

ความคิดของเราที่ไม่ได้ถ่ายทอดออกมาเป็นเสียงคือ "ทำไมเราต้องมากินไก่ผู้พันไกลถึงบิลเบาด้วย หะ..." 

เราเดินกลับไปยังฝั่งโฮสเทล เดินวนหลงทางกัน (อีกแล้ว) จนมีคนเข้ามาช่วยเหลือและแนะนำให้เราไปกินร้านไก่ย่างแถวๆนั้น  สุดท้ายเราหนีจากไก่ทอดเคเอฟซีมากินไก่ย่างเมืองบิลเบาแทน

บรรยากาศร้านชวนให้เรานึกถึงร้านสไตล์ไก่ย่างเขาสวนกวาง ไก่ย่างนิตยา อะไรแบบนั้น ควันในร้านโขมงโฉงเฉง กลิ่นหอมของไก่ลอยมาเตะจมูก พนักงานเดินกันฉับๆ คอยจัดโต๊ะ เก็บโต๊ะ ส่วนโต๊ะที่ว่าชวนให้เรานึกถึงโต๊ะร้านก๋วยเตี๋ยวแถวปากซอย ต่างกันตรงที่ ร้านนี้ปูกระดาษมาให้เรา เผื่อทิ้งกระดูกไก่ เศษอาหารอะไรได้เลยเสร็จสรรพ พนักงานขยำทิ้งรอบเดียว 

พวกเรานั่งโต๊ะ และเดินไปสั่งอาหาร ... เนื่องจากเวลาผ่านมาสองปีแล้ว เราจึงจำไม่ได้จริงๆว่าเราสั่งอะไรมากินบ้าง รู้แต่ได้ชิมไก่ของร้านนี้และค้นพบว่ามันเป็นไก่ที่อร่อยมากกกกกกกก (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่า ความอร่อยแปรผันไปตามระดับความหิว) 
หนังไก่กรอบแบบที่เราชอบ แต่เนื้อข้างในชุ่มฉ่ำ ไม่แห้ง ไม่แข็ง
กินอิ่มพุงกาง ก็ค่อยๆเดินกลับโฮสเทลอย่างสบายใจ ระหว่างทางแวะซื้อผลไม้กันในร้านค้าด้วย

กลับถึงที่พัก พวกเราเหนื่อยกันมาก
ตัวเราเองสลบไปเลยทั้งที่ยังไม่ได้อาบน้ำ ล้างหน้าล้างตา 
วันแรกในบิลเบาของเราจบลงแบบเหนื่อยอ่อน

แต่นี่แค่เริ่มต้น .... หนทางในสเปนของเรายังอีกไกล (มาก จนบางทีก็อดคิดไม่ได้ว่าไกลไปไหม -- แต่ก็นั่นล่ะ ถึงได้เป็นที่มาของมหากาพย์แดนกระทิง)   

lunes, 26 de mayo de 2014

It's my first time reading ''New York 1st Time''

อ้าว... นี่ไม่ได้เขียนบล็อกมาเกือบหกเดือนแล้วหรือนี่....

กลับมาวันนี้ตอนแรกตั้งใจว่า เอาวะ วันนี้ล่ะ จะเขียนเรื่องไปเที่ยวลงบล็อกอย่างจริงจังให้ได้
พักนี้หนักๆหัว เพราะอ่าน En Llamas มากไป เครียดค่ะ (En Llamas คือ ฉบับแปลภาษาสเปนของ Catching Fire นอกจากเนื้อหาจะชวนเครียดแล้ว ภาษาสเปนง่อยๆของเรายังเป็นอุปสรรคในการอ่านด้วย)
ด้วยเหตุนี้เลยคิดโฉบตัวไปตามแผงหนังสือสักหน่อย เห็นหนังสือ New York 1st Time ก็สะดุดตาละ ยิ่งไล่ลงไปตามชั้นหนังสือท่องเที่ยวเรื่อยๆ ข้าพเจ้าแทบสิ้นสติ ไม่นะ!เล่มนั้นเขียนไปสเปน ไม่นะ!เล่มนี้เขียนไปอาร์เจนตินา นั่นเปรู นั่นญี่ปุ่น นั่นยุโรป ... นั่น... นั่น! ความริษยานี่พวยพุ่งออกจากตาเลยจริงๆ โลกนี้ชาวบ้านเค้าเที่ยวกันจนพรุนแล้วสินะ เขียนหนังสือเล่าทุกซอกมุมกันหมดแล้วสินะ ชั้นหนังสือพวกนี้จะมีที่ให้ชื่อเราปรากฏบ้างไหม (วะ) ความรู้สึกเหงาหงอยเพราะปีนี้ยังไม่ได้ไปเที่ยวเลยกับความรู้สึกแค้นใจที่ตัวเองเขียนอะไรไม่จบสักอย่าง ทำให้เรามี love-hate relationship กับชั้นหนังสือท่องเที่ยวในร้านหนังสือทุกร้านมาก กลับมาก็ฮึกเหิมทุกครั้งว่า วันนี้จะเขียน วันนี้จะเขียน ... แต่เขียนอยู่วันเดียวเท่านั้นล่ะ เพราะแรงบันดาลใจที่ของดิฉันต่ำมากค่ะ (สงสัยต้องไปที่ชั้นหนังสือพวกนี้ทุกวัน -.-)

วันนี้ก่อนจะผละจากชั้นหนังสือด้วยความแค้นใจเหมือนเคย เราตัดสินใจหยิบ New York 1st Time ติดมาด้วย คลิปในยูทู้ปของเค้าเราก็ดูนะ ตลกมาก รู้จักหนังสือเล่มนี้ก็จากคลิปนั้น หมายตาไว้เหมือนกันว่าจะซื้อ แต่ก็รู้อยู่ว่าซื้อแล้วจะเป็นยังไง เลยลังเลอยู่เรื่อยๆ ก่อนหน้านี้เลยแบก En Llmas เล่มเท่าดิกชั่นนารีขึ้น MRT อยู่ทุกวัน แทนหนังสือเล่มกระทัดรัดที่เล่าประสบการณ์ฮาๆแบบนี้

หน้าปก New York 1st Time 


สรุปว่าซื้อ หิ้วกลับมาบ้าน นอนอ่าน แล้วก็อ่านรวดเดียวจบ
สไตล์การเขียนของคุณเบ๊นทำให้เราพลิกหน้าอ่านได้อย่างสนุกจนลืมเวลา (ว่ากรุต้องสอบโทเฟลและสเปนในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างนะคะ ไม่ควรเอาเวลามาอ่านอย่างอื่น อ๊าาาาา)
หนังสือเล่มนี้ไม่ได้เล่าชีวิตสวยหรู ที่อ่านแล้วต้องอิจฉา
ไม่ใช่ไกด์บุ๊คที่ช่วยให้คุณเอาชีวิตรอดในนิวยอร์คได้แบบชิลล์ๆ

หนังสือเล่มนี้แค่เล่าประสบการณ์"ครั้งแรก"ของคนๆหนึ่งที่ไปใช้ชีวิตอยู่ในนิวยอร์ค
แต่ "ครั้งแรก" ที่ว่านั้น เราว่าเป็นจุดขายที่ดีมากๆที่ทำให้หนังสือเล่มนี้กลายเป็นหนังสือขายดี ถึงขั้นว่าพิมพ์มาแล้วห้าครั้ง ภายในระยะเวลาแค่สองเดือน
คุณเบ๊นไม่ได้เล่าเรื่องเรียบๆว่าไปนิวยอร์คนะ เจอนั่นเจอนี่ แต่เขาเลือกประสบการณ์"ครั้งแรก"มาเล่า
แล้วด้วยความที่เป็นครั้งแรกไง ประสบการณ์จึงแฝงไปด้วยความตลกแบบที่ถ้าเราเจอกับตัว ณ วินาทีนั้นเราจะขำไม่ออก

ไม่รู้สิ มันเหมือนกับเราก็ได้ตามเขาไปนิวยอร์คด้วย และก็ได้ตามตัวเองกลับไปในอดีตที่มีโอกาสได้ทำอะไร "ครั้งแรก" ในประเทศที่ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองเหมือนกัน ยิ่งเราเป็นคนกลัวทำผิดพลาด ครั้งแรกของเราจึงเป็นอะไรที่สำคัญมาก เพราะถ้าพลาด บางทีจะเฟลและขยาดไปเลย

เราอ่านเรื่องนี้ไป ขำไป ยิ้มไป น้ำตาซึมนิดหน่อยก็มี
ชอบที่เค้าให้ความสำคัญกับเรื่องเล็กๆน้อยๆ และถ่ายทอดมันออกมาได้ดี
เป็นเรื่องทั่วๆไปในชีวิตประจำวันที่พวกเราก็เจอ แต่บางครั้งเรามองข้าม

คือ ไม่ต้องไปนิวยอร์คก็มี First Time ได้นึกออกมั้ย
เพียงแค่เราลองทำอะไรที่นอกเหนือไปจาก routine ปกติ แค่นี้ทุกอย่างก็จะกลายเป็น First Time แม้แต่การลองขึ้นรถเมล์สายใหม่ๆ

หลายครั้ง first time เป็นจุดเริ่มต้นของ many times
แต่หลายครั้ง first time ก็เป็น synonym ของ last time

แต่ไม่ว่าสิ่งที่ตามมานั้นจะเป็น many times หรือ last time
ถ้าเราไม่มี first time สิ่งที่ตามมาก็คงจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยสินะ ...

เฮ้อ...
เพ้อ

นอนค่ะ ตีหนึ่งค่ะ พรุ่งนี้ทำงาน!
แม้การไปสายจะแปรสภาพจาก first time เป็น many times แล้วก็เถอะ
T___T