ห่างหายไปหลายวันทีเดียวสำหรับการอัพบล็อก เพราะว่าเหนื่อยทุกวัน (เหนื่อยใจนะ) ก็อย่างที่บอกไปว่าอาทิตย์ก่อนนั้นก็ได้อยู่ปิดร้านกับเดวิดสองวัน ก็ต้องรอบคอบมากเลยแหละ แล้วพรุ่งนี้้เลยกลายเป็นรับผิดชอบปิดคนเดียวไปเลยซะงั้น (สาดด ... ไม่ควรจะด่า แต่มันไม่ไหวจริงๆนะ) คือ ไม่เข้าใจว่าเค้าคิดอะไรอยู่อ่ะ ทำไมจัดแบบนี้ก็ไม่รู้ ร้านนี้เคยมีกรณีโดนปล้นไปเมื่อปลายปี มันเปลี่ยวอ่ะ รถกลับก็ไม่มี เค้ายังให้เลิกดึกอีก แต่พี่ออมคงจะอยู่ช่วยด้วย เพราะเลิกงานก่อนเราชั่วโมงนึง ก็คงช่วยกัน อีกวันนึงก็สลับกัน เราก็จะอยู่ช่วยพี่ออม แต่ยังไงเราว่ามันก็ยังอันตรายมากอยู่ดีนะ ผู้หญิงสองคนปิดร้านตอนห้าทุ่ม ... แถมปิดไม่พอต้องเดินกลับเองด้วย ชั่วโมงครึ่งด้วยนะ ไม่ใช่เล่นๆ ตอนที่เราปิดอาทิตย์ที่แล้วดีอ่ะ เพราะหมิงมารับสองวันเลย วันแรกต้องเดิน อีกวันให้โจเซฟ ว่าที่ผู้จัดการ(หรือเป็นผู้จัดการไปแล้วก็ไม่รู้)ของร้านหมิงไปส่ง แต่ก็มีอีกวันนึงที่เราทำกับจูเลียส (เพื่อนใหม่ ฮิฮิ) อันนั้นไม่ได้อยู่ปิด แต่เลิกสองทุ่ม เราเลยตัดสินใจ เอาวะเดินกลับ ... แต่พอออกมาไม่เท่าไหร่ คิดในใจกูไม่น่าเลย นี่คิดจะทำอะไรเนี่ย
เราไม่กลัวคนนะ ...
ฮืออ เรากลัวอย่างอื่น T__T
แล้วที่ๆเราเดินอ่ะ เปลี่ยวมาก บางจุดไม่มีไฟเลย ที่สำคัญมากและน่ากลัวที่สุด
เราต้องเดินผ่านเหมือนเป็นแบบสะพานอ่ะ รถวิ่งเร็วๆเยอะๆ คาดว่าอุบัติเหตุตรงนั้นเยอะมากแน่นอนเพราะ
มีหลุมศพเรียงรายไปหมด ... อืม นี่แหละที่เรากลัว เพราะวันที่เดินมากับหมิงเจอไปแล้วจังๆ น่ากลัวมากกกก
ฮือออออออออ
ตอนเดินกลับเอง วันนั้นคงเพราะทำดีมั้ง พระเลยคุ้มครอง
วันนั้นเราจำได้ว่า เราช่วยคนพิการคนนึงที่ร้าน จริงๆก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากหรอก เพราะเค้าอยากช่วยเหลือตัวเอง แต่เราก็พยายามทำโน่นทำนี่ให้ ยิ้มให้่ ปฏิบัติกับเค้าดีๆ เค้าดีมากนะ น่ารักมากจริงๆ ดีใจที่ได้ช่วย หรืออย่างน้อยก็ทำให้เค้ารู้สึกดีๆ วันนั้นพอต้องเดินกลับเอง...ก็ลืมเรื่องคุณลุงพิการไปชั่วขณะ ใส่หูฟังเปิดเพลงดังๆมาตลอดทาง พอใกล้ถึงโซนอันตรายที่ว่า เราก็หยุดก่อนตรงที่มีไฟเป็นที่สุดท้าย แล้วจัดการห้อยพระและตะกรุด เรามีไฟฉายไอโฟนอ่ะ ก็ฉายไปตลอดทาง เพียงแต่ว่าไอโฟนมันชอบล็อกอัตโนมัติอยู่เรื่อยๆ คือไฟมันก็จะดับ ต้องปลดล็อก เราก็คิดในใจ มึงจะดับตอนไหนก็ดับนะ แต่ตอนเดินผ่านตรงนั้น ขอเถ้อะะะะ T_T
ก็ข้ามถนนมาได้อย่างปลอดภัย คือเราพยายามเดินติดถนนมากที่สุด เพราะถ้าเดินตรงหญ้าคือเหยียบแน่ๆ ก็เดินไปสักพัก เอาละ ฮือออ มาแล้ว ไม้กางเขนสีขาว แล้วสักพักไฟฉายดับ แง้ๆๆๆๆๆๆ TT~TT รีบเปิดแล้วเดินจ้ำต่อไป เรานิสัยคือชอบมองข้างทางไง เป็นยังงี้มาตั้งนานแล้ว เพราะฉะนั้นเวลาไปไหนเราถึงจำทางได้ ไม่ก็จำได้ว่า เออ เคยมาที่นี่แล้ว ก็เป็นข้อดีใช่มะ แต่มันไม่ดีตอนนี้แหละ เราแบบ ฮือออออออ ม่ายยย
คราวนี้เลยพยายามมองไปข้างหน้าอย่างเดียว โชคดีที่มันไม่ได้เปลี่ยวเหมือนวันที่เราเดินกลับกับหมิง เพราะมันไม่ดึกเท่าไง รถก็เยอะเหมือนกัน แต่ขับเร็วมาก ก่อนหน้านี้มีคนจอดด้วยนะ แต่เรากลัว เลยเดินช้าๆ คนขับก็คงกลัวเหมือนกัน เลยขับไปเลย พอเราลอดสะพานมา ก็เดินเลาะถนนไปเรื่อยๆ มองไม่เห็นไม้กางเขนแล้ว แต่เห็นรถแท็กซี่ข้างหน้าจอดเทียบแทน เราแบบไม่นะ กูเดินมาขนาดนี้แล้วนะ กูไม่เสียค่าแท็กซี่เด็ดขาด ไม่มีทางงงง คนขับเป็นคนดำ เค้าบอกเออ เค้าจะไปแถววอลมาร์ทนะ เดี๋ยวไปส่งให้แถวๆนั้นได้เอาไหม คือ เค้าก็พูดอังกฤษไม่เก่งนะ จริงๆตอนนั้นเราก็ไม่กลัวแล้วนะ เหมือนผ่านจุดที่น่ากลัวมาแล้วอ่ะ เราเลยปฏิเสธไปเพราะเดินเลยครึ่งทางมาแล้ว แต่เค้าก็ถามย้ำ เนี่ยเดี๋ยวไปส่งให้ คือ เค้าบอก give a ride ให้เอาไหม เราก็นะ จริงๆก็ขี้เกียจเดิน ฮ่าๆๆๆ เลยโอเค ไปก็ได้วะ (เสี่ยงดวงมาก) คือเราเห็นเบอร์อะไรไม่รู้ในรถเค้าอ่ะ คือ ไม่รู้ แต่คิดว่าถ้าเกิดไรขี้น มันน่าจะตามตัวเราได้สิน่า เราไม่กลัวนะ ตอนตัดสินใจว่าจะไป แต่ก็พยายามระวังตัว เพราะไม่รู้ว่าเออ จะเอากูไปขายไหมนะ แต่เราก็รู้สึกว่าเค้ามาดี ก็เลยโอเค อีกอย่างคือ มันเป็นทางที่เราคุ้นเคยด้วย เค้าก็ชวนคุยบอก เออ เนี่ยเดินทำไม รู้นะว่าเป็นการออกกำลังกายที่ดีแต่มันดึกแล้ว อันตรายมากนะ เราก็คิดในใจ เอ่อะ คือ ไม่มีทางเลือกโว้ยย รถหมดแล้ววว!!! เหมือนเค้าจะไปรับผู้โดยสารที่วอลมาร์ทอ่ะ เราเลยลงข้างหน้าเลย ข้ามถนนถึงโรงแรม (เย้~~~) คือ เราแบบโล่งมากกก
ย้อนกลับไป ถามว่าทำไมเลือกจะเดินคนเดียว น้องหมิงไปไหน
555
คือจริงๆเราว่าการตัดสินใจจะเดินเป็นความคิดชั่ววูบมาก แต่เราเหมือนแบบ เออ ตัดสินใจไปแล้วอ่ะ เดินๆไปเถอะ ทั้งๆที่จริงๆแล้วกลัวมากเลยนะตอนเดินมาแรกๆ เพราะเหมือนรู้ไงว่ามีอะไรรออยู่ข้างหน้า แต่เราก็พยายามปลอบใจตัวเองอ่ะว่า ไม่เป็นไรหรอก อย่าไปกลัว พี่ออมยังเดินมาแล้ว เราก็ต้องเดินได้เหมือนกัน เราคงจะพึ่งคนอื่นตลอดไม่ได้หรอก หมิงเองก็ต้องรอคนมาส่ง คือ เหมือนเรากับหมิงเลิกเวลาเดียวกันไง แล้วหมิงเองก็กลับไม่ได้ เพราะจากที่ทำงานหมิงมาของเรามันไกล ก็ต้องรอให้ที่ทำงานมาส่งซึ่งก็คือ โจซู (ญาติโจเซฟ) แต่โจซูก็ต้องอยู่ปิดร้านอีก เราเลยคิดในใจ งั้นเราอยู่รอจูเลียส ช่วยจูเลียสปิดร้านไปเลยไม่ดีกว่าหรอ จูเลียสไปส่งแน่นอน เพราะเค้ามีรถ (มั่นใจเกินไปมั้ย 55555) แต่เราไม่อยากรอแล้วไง เรายังเซ็งกับตารางอยู่ เราคล็อกเอาท์แล้วด้วย แล้วคือจะให้เรานั่งรอเฉยๆเราทำไม่ได้อ่ะ ต้องเข้าไปช่วยแน่ๆ แต่อีกใจเราก็คิดว่า เออ เดี๋ยวคิดย้อนกลับมาคงเสียดายเวลาอ่ะ จะไปทำงานให้เค้าฟรีๆสามชั่วโมงเนี่ยนะ!
เลย เดินดีกว่า ... แต่มันเป็นความคิดชั่ววูบจริงๆ เราแทบกรี๊ด ตอนเดินมาสักพัก 555 แต่ก็ดีนะ ทำให้เรามีความกล้ามากขึ้น และได้เจอคนดีๆ
เราคิดว่า คงเป็นเพราะเราทำดีมา ก็เลยได้ดีตอบแทน
เราดีใจมากจริงๆนะที่ได้ช่วยคนอื่น แต่บางทีช่วยจนลืมไปแล้วว่า คนที่ได้รับความช่วยเหลือเค้ารู้สึกยังไง
วันนั้นก็ได้รู้ซึ้งเลยล่ะ เพราะงั้นเราเลยยิ่งอยากช่วยคนอื่นมากขึ้นไปอีก
เพราะรู้แล้วว่า คนที่ได้รับความช่วยเหลือ โดยเฉพาะเวลาที่เค้าต้องการมันมากๆ เค้ารู้สึกดีแค่ไหน
:)
นี่คือบทเรียนของสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับการทำแซนด์วิช 55555555
อย่างที่บอกนะว่าตารางอาทิตย์นี้เลวมากที่สุด เรายังมีเลิกสองทุ่มอีกสองวันจันทร์กับอังคาร
ส่วนเสาร์นี้ (ซึ่งคือพรุ่งนี้) ต้องเป็นคนดูแลแคชเชียร์เอง และอยู่ปิดร้าน
วันอาทิตย์ทำตั้งแต่บ่ายโมง แต่ก็ยังมีช่วงที่ต้องอยู่คนเดียวสองชั่วโมง ระหว่างรอพี่ออม ซึ่งเราก็กลัว เพราะวันนั้นเดวิดไม่อยู่แน่นอน ฮือออ จะร้องไห้
เดวิดดีมากอ่ะ ความจริงวันก่อนเราก็ต้องอยู่เองคนเดียว รอจูเลียส แต่เค้าบอกเค้าไม่ทิ้งเราแน่นอน ไม่ต้องกลัว จะอยู่จนกว่าจูเลียสจะมา เราเลยแบบสบายใจอ่ะ แต่คือวันอาทิตย์นี้เค้าไม่มาอ่ะ เราทำกับริคด้วย มันไม่อยู่กับเราแน่นอน อยากกรี๊ดดดดดดดดดดดด T__T
เอ่อะ ฝากบอกมะปรางและเอมมี่ เดวิดมีแฟนแล้วโว้ย 555555
คือเราไม่ได้ทำตอนเช้าเลย แทบไม่ได้เจอเมเนเจอร์เลย เวรมากกก
ไม่รู้ทำไมจัดตารางแบบนี้ อยากฝึกเรา เราก็ฝึกไปแล้ว
นี่จะให้เราปิดร้านคนเดียว ไม่เข้าใจหรือไงนะว่าเราลำบาก
เรากลับบ้านไม่ได้ เพราะเราไม่มีรถ!!! คือ ถ้าอาทิตย์หน้าเป็นแบบนี้อีก เราอาจจะต้องลองคุยดูจริงๆ
ถามว่าทำได้ไหม มันก็ทำได้นะ ไม่ได้มีปัญหาอะไรขนาดนั้น ปัญหาใหญ่ๆคือเรื่องรถ เรากลับไม่ได้ เราต้องเดิน ซึ่งถามว่าเดินได้ไหม ก็เดินได้ แต่มันไม่ปลอดภัยอ่ะ แล้วเราก็ไม่ได้รู้จักใครที่มารับได้ตลอดด้วย
ทำงานที่นี่จริงๆได้แค่ 25 ชั่วโมงเอง พี่มิ้มกับหมิงได้น้อยกว่านี้อีก
แล้วคือเหมือนกับว่า มีหลายคนร้องเรียนไปเรื่องงานใช่ป่ะล่ะ ว่าเออ ได้ชั่วโมงน้อย
ทาง AWA เลยส่งเมล์มาบอกว่า เนี่ย เห็นบอกกันเยอะ แต่เหตุผลหลักๆอาจจะเป็นเพราะ
เราคุยอังกฤษกับลูกค้าไม่ดีพอ หรือ เราแยกไม่ออกว่าเนื้ออะไรเป็นอะไร หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะเราไม่สามารถอยู่ดูแลร้านคนเดียวได้ นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เราได้ชั่วโมงงานน้อย
เอาจริงๆตอนแรกเราไม่คิดอะไรนะ แต่ตอนนี้พอมาเห็นแล้วมันหงุดหงิดอ่ะ
คือกรณีพี่มิ้มกับหมิง เงินมันไม่พอเลยนะ ไม่พอค่าห้องแต่ละอาทิตย์เลย ได้ทำแค่สิบกว่าชั่วโมงเอง
เราค่อนข้างมั่นใจนะ ว่าสองคนนี้ทำงานได้ดี พี่มิ้มเคยไปทำที่สาขาเรา ไปช่วยฟรีๆ เดวิดยังชมเลย หมิงเองก็ด้วย ทำทุกอย่างเลย คล่องมาก เมื่อวานไม่ใช่เวลางาน แต่ผ่านไปที่ร้านของหมิงกับพี่มิ้ม หมิงเห็นคนเยอะก็เปลี่ยนเสื้อ ไปช่วยฟรีๆ แล้วก็เห็นทำได้โอเคเลยอ่ะ อีกอย่างยังมีคนที่ได้ชั่วโมงมากกว่าเราตั้งเยอะ เพราะว่าทำเอาท์เลตอะไรแบบนี้กัน
เราเลยคิดว่าเรื่องโลเกชั่นมันก็มีส่วน เค้าเองก็ควรจะอธิบายข้อจำกัดของร้านมาด้วย ไม่ใช่เขียนเมล์มาแบบนี้ มันเหมือนโทษแต่เด็กว่า เออ คุณไม่มีความสามารถ เราตอนแรกไม่ได้เดือดร้อนนะ เอาจริงๆ แต่พอยังงี้มันเหมือนมาดูถูกกันมากไปหน่อย เราก็ไม่ได้บอกนะว่าเราเก่ง เราทำได้ 100% ดีเลิศสุดๆ ไม่อ่ะ เราก็ฟังไม่รู้เรื่องเหมือนกันบางที แต่เราแยกเนื้อเป็นนะ เรายิ้ม ไม่ฉุนเฉียวใส่ลูกค้าเลย ผิดก็ขอโทษตลอด ไม่รู้อะไรก็ถามคนที่รู้ ตอบลูกค้าเท่าที่ตอบได้ พยายามแล้วพยายามอีก เค้าจะรู้ไหมว่าเราทำอะไรบ้าง ต้องเอาสูตรมานั่งท่องนะ เราไม่เข้าใจอะไรก็ถาม การที่มาพูดแบบนี้ทำให้เรารู้สึก เออ สิ่งที่ทำไปไม่มีความหมายหรือไง จากที่เค้าเขียนก็ดูเหมือนจะเป็นความผิดพวกเราเอง ที่ชั่วโมงน้อย ไม่เกี่ยวกับร้าน ทั้งๆที่ความจริงร้านก็มีส่วน ที่เราไม่ได้เรียกร้องเรื่องชั่วโมงทั้งๆที่มันต่ำกว่ากำหนด เพราะเราไปนั่งนับๆดูแล้ว คนอื่นในร้าน เช่น เดวิด ก็ชั่วโมงพอๆกับเราเลย เราเลยไม่บ่น เพราะรู้สึกว่า ในร้านก็ต้องแบ่งๆกัน เรามาอาศัยพวกเค้าสามเดือนก็ลดชั่วโมงพวกเขากันไปพอสมควรแล้ว เลยไม่รู้จะไปเรียกร้องอะไรอีกทำไม
เพื่อนที่ทำงานเราโอเคนะ วันนั้นทำงานกับจูเลียสก็โอเคเลย ชวนคุย ไม่ก็ชอบเปิดประเด็นให้เราชวนคุยเค้าได้เรื่อยๆ ก็เหมือนๆทุกคนจะพยายามช่วยเรากับพี่ออมเหมือนกันเรื่องที่ต้องปิดร้านหรือกลับเย็น แต่ไม่รู้ลุงเมเนเจอร์แกคิดอะไรอยู่ ถึงได้จัดเราทำเย็นตลอด (ข้อดีคือ ไม่ต้องเจอลุงแกนั่นแหละ เชอะ) แถมยังมีเวลาให้เราทำงานคนเดียวเยอะมาก (คืออยู่คนเดียวจริงๆ) แล้วจัดไม่เอาเดวิดมาลงกะใกล้ๆเราเลยด้วย
พรากพ่อพรากลูกกันเลย เอาป๊ะป๋าเดวิดของฉันคืนมานะะะะะะโว้ยยย (เค้าเหมือนพ่อจริงๆ ดูแลทุกอย่าง ลุงแกเลยแบบว่า อืมม มึงโอ๋กันนักใช่ไหม แยกกันซะ ฮือออ) พี่ออมก็โดนแยกเหมือนกัน นี่ยังแลดูปรานีนะ เพราะวันที่ปิดร้านเอง ยังจัดเวลาให้อีกคนอยู่ช่วยได้ (เรากับพี่ออมสลับกันปิดร้าน แต่วันที่เราปิดร้าน พี่ออมจะเลิกก่อนชั่วโมงมึง วันที่พี่ออมปิดร้านเราก็เลิกก่อน แต่คือมันอยู่ช่วยกันได้ไง ประมาณนี้อ่ะ) เหอๆๆๆๆ แต่ถ้าอาทิตย์หน้ามันแยกขึ้นมาอีกจนเราต้องอยู่คนเดียวล่ะก็ ..... ฮืมมมม ไม่อยากคิดจริงๆ
เราก็ไม่รู้ว่าทำยังงี้ไปแล้วได้อะไร เพื่ออะไร เพราะทำไปเราก็รู้ว่าชั่วโมงมันก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นหรอก
จะเพิ่มได้ไง คนอื่นก็ได้พอๆกันเท่านี้แหละ
ก็ขอบคุณนะที่ช่วยฝึก แต่เอาจริงๆ ไม่อยากเอาชีวิตมาเสี่ยงโดนปล้นหรือโดนลักพาตัวตอนกลางคืนโว้ย
เราเครียดมากนะ ไอ้ช่วงที่ต้องอยู่คนเดียวอ่ะ แต่เราเตรียมไว้ละ
ก็ตั้งใจว่า จะแปะโพสต์อิทที่หมวกไม่ก็เสื้อ ว่าเราเป็นเด็กใหม่นะและเป็นเด็กไทยด้วย (อาจจะแปะหลังเสื้อด้วยอ่ะ) แล้วก็จะเตรียมโพสอิทไป ใครพูดจาไม่รู้เรื่อง ยื่นโพสต์อิทให้ไปเลย เขียนมาแล้วกันว่าจะกินอะไร อีกอย่างคือจะเตรียมเครื่องคิดเลขไปด้วย เผื่ออีเครื่องคิดเงินเวรมันเล่นตลกอีก
ถามว่ากลัวไหม เออ กลัว แต่ผิดไหมที่กลัว?
ถ้าทำไม่ได้ แปลว่าเราไม่ได้เรื่องหรือเปล่า?
เราจำเป็นต้องทำให้ได้หรอ? เค้าสั่งอะไรมาต้องทำหรอ?
ไม่จำเป็นว่ะ
เรายังไหวนะ ยังไม่ถึงขีดจำกัด แต่ถ้าถึงเมื่อไหร่...
เหอๆๆๆๆๆๆ !!!
เราไม่รู้ว่าเค้าทำแบบนี้ เพื่อบีบอะไรเราหรือเปล่า (ในที่นี้ไม่ใช่มีเราโดนคนเดียวนะ พี่ออมก็ด้วย)
แต่เราก็ไม่ยอมเหมือนกันอ่ะ ทำไมอ่ะ มีปัญหามะ
คิดว่าจะทำไม่ได้หรอ ก็จะทำให้ได้อ่ะ
แล้วจะทำให้ดีที่สุดด้วย ถ้าโดนลูกค้าด่ามากๆ ก็จะร้องไห้ตรงนั้นอ่ะ
ในเมื่อเค้าไม่แคร์เรา เราก็ไม่แคร์เหมือนกัน
แต่เราไม่ยอมแพ้อ่ะ ไม่มีวันยอมด้วย
แล้วก็อย่าหวังเลยว่าเราจะไม่ปริปากพูดอะไรและปล่อยให้เค้าทำกับเราแบบนี้ไปตลอด
เรื่องนั้น เราก็ไม่ยอมเหมือนกัน เหอะ ;p
เราพยายามคิดแง่ดีแหละ ว่าเค้าคงจะไว้ใจแล้ว ถึงให้ทำกะเย็น เพราะเค้าเคยบอกช่วงแรกๆว่าที่ให้ทำกะเช้า เพราะว่าเค้าจะได้ดูตอนเราทำงานด้วย
เราก็เข้าใจเรื่องนี้นะ
แต่ช่วยคิดถึงความสะดวกนิดนึงได้ไหมมมมม T-T
เห้อออ วันนี้มาเครียด ยิ่งคิดยิ่งเครียด แต่ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วงนะ
เราเอาตัวรอดได้เหมือนทุกทีนั่นแหละ
อาจจะมีเรื่องเจ็บใจบ้าง แต่เราดูแลตัวเองได้แน่นอน :)
อ่อ มีอีกอย่างคือ วันนั้นคีธมา คีธเป็นซูปเปอร์ไวเซอร์ไง คนก็จะเกรงๆเค้า หลายคนก็โดนเค้าว่าไปบ้างแล้ว เช่นหมิง เรื่องล้างมือ เรื่องบลาๆๆๆ ไรงี้ เค้ามาแล้วทุกคนก็กดดัน วันนั้นเค้ามา ถามว่าเราแคร์มั้ย ไม่
มาก็มาไป ก็ทำงานไปตามปกติ แต่ก็แค่พูด Welcome to Subway ให้บ่อยขึ้นและดังขึ้น แค่นั้นจบ ปรากฏว่า เมเนเจอร์เรียกเราไปคุยนะ เราก็อืมม โดนด่าอะไรน้อ ... เพราะหลายคนก็โดนๆมาเหมือนกัน ปรากฏเค้าแค่บอกว่า เออ รวบผมขึ้นไปอีกได้ไหม เพราะผมยาว (เรามัดปกติไง) แล้วก็เอาหมวกขึ้นหน่อยนะ จะได้เห็นเวลายิ้ม ...
เราแบบ... อืม แค่นี้อ่ะนะ แสดงว่าไม่มีอะไรจะด่าใช่ไหม เหอะ แบร่ ;p แล้วยังมีหน้ามาบอกว่าที่ได้ชั่วโมงน้อยเพราะความสามารถของกูหรอคะ?? (ยังไม่จบ 5555) เดวิดก็บอก แสดงว่าคีธเห็นว่าเราทำงานได้ดีนะ
(จู่ๆเค้าก็กลับไปเลย) เหอะ เหอะ เหอะ เหอะ ยังหรอก
ยังไม่ดีที่สุด
ถ้าสถานการณ์และทุกคนไม่บีบเราไปมากกว่านี้
เราสามารถทำได้ดีกว่านี้อีก ...
และดีกว่านี้อีก อีก อีก อีก
แต่ถ้ายังทำให้เครียดบ้ัาบอกันอยู่แบบนี้
ระวังเถอะ ผลมันจะเป็นตรงข้าม
แบร่ๆๆๆๆๆ ;ppp
แล้วเราจะได้เห็นกัน
เชอะ!!
ps. ขอโทษ วันนี้จัดเต็ม เครียดมาหลายวันละ แต่เราขอย้ำนะ ว่าไม่ต้องเป็นห่วง :) เดี๋ยวอะไรๆคงดีขึ้น
ps2. ไปเปิดธนาคารมาละ ได้บัตรมารูดแล้ว เช็คใบแรกก็ออกแล้วได้แค่ 170 กว่าดอลเอง ก็นะ แต่ไม่เคยหาเงินห้าพันกว่าได้ภายในระยะเวลาสั้นขนาดนี้มาก่อนเลยแฮะ ~ ก็เอาเถอะ เห้อออ อ่อแล้วก็ไปสมัครงานออนไลน์มาสองที่ละที่เบอเกอร์คิงกับแมค เพราะมันอยู่ตรงข้ามบ้านเราเลย ก็สมัครทำตีหนึ่งถึงหกโมงเช้า ไม่แน่ใจเหมือนกันนะว่ามันเปิดยี่สิบสี่ชม.หรือเปล่า แต่ว่าน่าจะมั้งนะ เอาเถอะ ก็ไม่ได้หวังว่าจะได้อะไรหรอก สมัครไปงั้นๆแหละ เหอๆๆๆๆ